กลับมาอีกครั้งกับภาคต่อ Tom Clancy’s The Division หลังจากที่ภาคแรกเปิดตัวได้ไม่สวยงามเท่าที่ควร แม้ว่าเกมจะได้รับการแก้ไขในภายหลังแต่ความประทับใจแรกของหลาย ๆ คนก็ถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี
แต่ในวันนี้ Tom Clancy’s The Division กลับมาอีกครั้ง เรามาดูกันว่ารอบนี้ Ubisoft และ Massive Entertainment จะแก้มือได้อย่างไรบ้าง ขอเชิญพบกับ Tom Clancy’s The Division 2 Article Review
Story
เนื้อเรื่องในภาคนี้จะเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก 7 เดือน เรายังคงรับบทเป็นหนึ่งใน Agent ของหน่วยงาน Division ที่กำลังป้องกันถิ่นฐาน อยู่มาวันหนึ่ง ระบบ SHD Network ก็ดับลงและเรียกตัวเหล่า Agent ไปยัง Washington D.C. เพื่อป้องกัน ฟื้นฟูและปลดปล่อยพื้นที่จากเงื้อมมือของเหล่าผู้ไม่หวังดี
The Division 2 ก็ยังคงใช้สไตล์การเล่าเรื่องในแบบเดิม ความเป็นมาหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อนที่เรามาถึงจะถูกเล่าผ่าน ECHO (Evidence Correlation Holographic Overlay) และบรรดาเทปบันทึกต่าง ๆ ทำให้เราเข้าใจเนื้อเรื่องหรือเหตุการณ์ก่อนหน้าได้ดีขึ้น
สรุปแล้วเนื้อเรื่องของเกมนี้มันคือหนังฮอลีวูดรักชาติมะกันจ๋าตามปกติที่เราเคยดูกันทั่วไป เนื้อเรื่องโดยรวมของเกมมันก็สนุกตื่นเต้นในระดับหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่แล้วมันจะถูกเล่ามาในภารกิจที่เราทำนี่ละว่ามีอะไรเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ภารกิจส่วนใหญ่ก็จะวน ๆ อยู่กับการช่วยเหลือคนนั้นทีคนนี้ที หรือจะฟื้นฟูฐานและป้องกันจาการรุกรานของพวก Hyenas ที่มาคอยปล้นสะดม หรือปราบปรามเหล่า True Sons ทหารผ่านศึกทั้งหลายที่ถูกนำโดยอดีตหน่วย JTF ต้องการที่จะขึ้นมามีอำนาจ และสู้กับ Outcast พวกที่รอดชีวิตจากการถูกกักกันตอนเชื้อไวรัสระบาดออกมาล้างแค้น แต่สุดท้ายแล้วภารกิจมันก็จะวน ๆ อยู่กับการที่ฆ่าให้หมดแค่นั้นแหละ
และการที่ตัวเอกของเรายังคงเป็นตัวละครจาง ๆ เหมือนกับภาคแรก ไม่พูดไม่จาไม่มีบทบาทอะไรมากรับหน้าที่ไปตามคำสั่งอย่างเดียว ทำให้ผู้เล่นบางท่านอาจจะรู้สึกไม่อินกับบทบาทในเกมซักเท่าไหร่
Presentation
ถ้าคุณเคยเล่นภาคแรกมาแล้วคุณอาจจะรู้สึกว่าภาคนี้มันมีธีมที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความที่เกมมีพื้นที่เปิดโล่งค่อนข้างเยอะ มีต้นไม้เยอะขึ้นและตึกสูงไม่มากเท่าภาคแรก ทำให้เรามีทัศนะวิสัยที่กว้างกว่าเดิม และในด้านดีไซน์ฉากของ Washington D.C. ก็ถือว่าออกแบบมาได้ดีทีเดียว
ด้วยความที่มันเป็นเกมของค่าย Ubisoft ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อเกม Open World สมัยนี้ ทำให้การสำรวจ Washington D.C. สนุกมากยิ่งขึ้น คุณจะรู้สึกว่าแผนที่มันใหญ่ขึ้นกว่าภาคก่อนและมีอาคารหลายจุดที่เราสามารถเข้าไปหาของได้ รวมถึงทางใต้ดินก็มีให้เราลงไปสำรวจ แถมคุณจะได้เจอสถานที่สำคัญหลากหลายมากมายเยอะกว่าภาคที่แล้วเสียอีก เช่น White House, Air & Space Museum และ National Museum of American History ที่จำลองรายละเอียดออกมาได้ดีเหมือนคุณตีตั๋วไปเที่ยว Washington D.C. ด้วยตัวเองในราคา 1690 บาท
การที่ภาคนี้มีการเพิ่มระบบ Settlement เข้ามา ยิ่งทำให้เราต้องใช้เวลามากขึ้นในการปลดล็อคสิ่งของหรือ Blueprints ที่เอาไว้ใช้ในการสร้างไอเทม แถมยังมีระบบ Outpost ที่เราต้องคอยไปยึด, ป้องกัน และเติมเสบียงให้กับพวกเขา ซึ่งประโยชน์จริง ๆ ของมันก็แค่มีไว้ปลดจุด Fast Travel เท่านั้น เราจะได้เจอศัตรูแบบสุ่ม ๆ เดิม ๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น กว่าจะได้เจอความท้าทายใหม่ ๆ ก็ต้องรอเล่นหลัง End Game ไปแล้ว แต่ถึงมันจะน่าเบื่อยังไงอย่างน้อยก็ยังถือว่ามันมี Content เยอะกว่าในภาคแรกอยู่ดี
สิ่งที่ทำให้ The Division 2 กลายเป็นเกม MMO มากขึ้นนั่นคือ ระบบ Clan ที่ผู้เล่นสามารถตั้งกลุ่มของตัวเองได้สูงสุดถึง 50 คน โดยมันจะมีระดับ Clan XP ที่ได้จากการทำเควสร่วมกัน เมื่อ Clan XP สูงถึงระดับที่กำหนดเราจะมีสิทธ์ในการเปิดกล่อง Loot Box ที่แบ่งออกเป็น 3 Tier คือ Bronze, Silver และ Gold และอีกอย่างหนึ่งคือระบบ Raid ที่ถูกเพิ่มเข้ามาให้ภาคนี้ที่จะทำให้คุณและเพื่อนของคุณจับกลุ่มถล่มบอสกันได้ถึง 8 คน
และจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ Dark Zone ในภาคแรกมันจะมีแค่ Dark Zone อันเดียวเท่านั้น แต่ในภาคนี้มันจะมีถึง 3 Dark Zone ให้เราเข้าไปเล่น โดยแต่ละ Dark Zone รูปแบบของด่านจะแตกต่างกัน และด้วยการปรับสมดุลแบบใหม่เพื่อให้เราได้เจอกับผู้เล่นอื่นที่มีระดับเลเวลใกล้เคียงกัน ทำให้การเข้าไปใน Dark Zone ดูน่าสนใจกว่าเดิม ส่วนใครที่อยากจะซัดกับผู้เล่นล้วน ๆ ในภาคนี้ก็ได้ติดระบบ Conflict มาตั้งแต่เกมออกกันเลยทีเดียว ซึ่งระบบ Conflict คือการ PVP 4 ต่อ 4 แบบเต็มรูปแบบไม่มี AI มาให้เกะกะสายตา วัดกันไปเลยใครเจ๋งกว่าใคร
ด้วยความที่มันเป็นเกมในสไตล์ของ Ubisoft นั่นเอง ทำให้มันยังมีความน่าเบื่อในแบบเดิม มันยังคงเป็นเกมที่คุณต้องเสียเวลากับการเปิดแผนที่ หรือเกมจะให้คุณทำอะไรซ้ำ ๆ ระหว่างทางเพื่อยืดเวลาไม่ให้คุณไปถึงจุดหมายได้ง่าย ๆ
Gameplay
ระบบการเล่นในภาคนี้ก็จะคล้าย ๆ กับภาคแรก แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของเราคือ Skill ที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นและเน้นการเล่นเป็นทีมมากขึ้น พอกันทีกับกระเป๋ากระสุนที่แคมป์จุดเดิมได้เป็นชั่วโมง ๆ โล่กำบังวางพื้นที่ทำให้เราทะลุกำแพงได้ และ Pulse Scan สุดเทพที่กดสแปมกันรัว ๆ เพราะอุปกรณ์เหล่านี้ได้ถูกเอาออกไป
แต่ตัวเกมก็ได้เพิ่มอุปกรณ์ใหม่ ๆ เข้ามาอย่างเช่น Firefly, Drone และ Hive และยังมีความสามารถย่อยลงไปอีก 3-4 อย่าง แม้ว่าหลายอย่างจะได้รับการปรับปรุง แต่ปัญหาสกิลเดิมที่มีให้เห็นอยู่ก็คงจะหนีไม่พ้น Seeker Mine: Airbrust ที่ถ้าเกิดศัตรูอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ เช่นตู้คอนเทนเนอร์ ตัวอุปกรณ์ของเราจะทะลุออกนอกตู้แล้วระเบิดลงไม่โดนศัตรู
และด้วยระบบ Day & Night Cycle และ Dynamic Weather ทำให้บางครั้งเราต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ อย่างเช่นพายุทราย หรือพายุฝนฟ้าคะนอง จะลดการมองเห็นของเราให้น้อยลงยิ่งกว่าภาคแรก ทำให้คุณต้องใช้ Skill Pulse Scan ในการรับมือภายใต้สภาพอากาศที่ย่ำแย่
สรุปแล้ว Gameplay ในภาคนี้ได้รับการปรับปรุงขึ้นอย่างมากจากภาคแรกที่บัคในช่วงแรก ๆ อีกมากมายที่กว่าจะแก้จนตัวเกมดีขึ้น หลาย ๆ คนก็เลิกเล่นกันไปเสียแล้ว การกลับมาในภาค 2 นี้ถือว่าทีมงานได้ทำการปรับปรุงข้อเสียจากภาคแรกใหม่ทั้งหมดทำให้ Gameplay ภาคนี้ทำออกมาสมกับที่ซีรีส์ Tom Clancy’s The Division ควรจะเป็น
Performance
ก็ถือว่าเป็นไปตามคาดที่เกมจากค่าย Ubisoft ช่วงหลัง ๆ จะเริ่มเข้าถึง PC ที่มีสเปคต่ำได้ดีมากขึ้น แม้ว่าคุณจะเล่นได้แค่ Low มันก็ยังพอไหวในระดับล็อค 30 เฟรม แต่หากสเปคต่ำจะหวัง 60 เฟรม ก็อาจจะยากไปนิด แถมเกมยังมีตัวเลือกให้คุณปรับเยอะแยะไปหมด ถือว่าทำออกมาได้ดีกว่าภาคแรกเยอะมาก แต่มันก็อาจจะมีปัญหาเรื่องภาพกระพริบเกิดขึ้นซึ่งก็ยังไม่บ่อยเท่ากับภาคที่แล้ว และถ้าพูดถึงเรื่องของ Server ถือว่าภาคนี้ได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีตเป็นอย่างดี แต่นาน ๆ ครั้ง ก็อาจจะมีอาการ Lag Spike เกิดขึ้นบ้าง บางครั้งก็ถึงขั้นหลุดออกมาจากเกมเลยก็มี
Verdict
โดยรวมแล้วภาคนี้คือ Tom Clancy’s The Division ที่มันควรจะเป็นและทำออกมาได้สมบูรณ์แบบทั้งผู้เล่นสาย PVE และ PVP ถึงแม้ว่าตัวละครมันเป็นใบ้ทำให้เนื้อเรื่องที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ จืดไปนิด แต่ด้วย Gameplay ที่ถูกปรับปรุงมาอย่างดีทำให้เราลืมเรื่องตัวเอกเป็นใบ้ไปได้เลย