BY Aisoon Srikum
17 Sep 24 11:44 am

รีวิว Star Wars Outlaws

1,272 Views

ผลงานเกม Star Wars แบบ Open World เกมแรก ตัวนี้ จะออกมาเป็นยังไง มันมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง ขอเชิญพบกับ Star Wars Outlaws Review

Story

แม้ทีมงานจะปล่อยข้อมูลออกมาบอกว่านี่คือเหตุการณ์ระหว่างหนังภาค 5 และภาค 6 หรือจะ 2 กับ 3 ก็ได้ แล้วแต่ผู้ชมจะจัดการความคิดตัวเอง แต่ครั้งแรกที่เราเข้าเกมมา เราอาจจะไม่จำเป็นจะต้องเข้าใจหรือรู้เลยว่ามันมีอะไรไปเชื่อมกับหนังบ้าง ตัวผู้เขียนเองเป็นแฟน Star Wars แต่ไม่ใช่ฮาร์ดคอร์แฟนขนาดนั้น หนัง 9 ภาคดูครบหมด แต่จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องราวเป็นมายังไง ซีรีส์ก็ดูบ้างไม่ดูบ้าง แต่เมื่อเริ่มเกมมาและไหลไปตามเนื้อเรื่อง เราก็จะเข้าใจเหตุการณ์มันได้ไม่ยาก

ในเกมนี้เราจะรับบทเป็น Kay Vess หญิงสาวธรรมดาที่เติบโตมาในวิถีโจรข้างถนน ต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบ หาเลี้ยงชีพไปวัน ๆ ด้วยการลักเล็กขโมยน้อย และมีคู่หูเป็นเจ้า Nix นอกจากตัวละครหลัก เกมจะเปิดมาด้วยการให้เรารู้จักกับตัวร้ายอย่าง Sliro ซึ่งมันก็ไม่ร้ายซะทีเดียว ในโลกของ Outlaws ไม่มีขาวสะอาด ดำสนิท สิ่งเดียวที่คุณจะขึ้นตรงด้วยก็คือผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงานให้ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ และเกมนี้มันจะโยน Lore ทุกอย่างอัดหน้าเราเป็นชุด แถมไม่ต้องไปตามหาไกล ทุกครั้งที่คุณเจอฝ่ายใหม่ ๆ หรือตัวละครใด ๆ ก็ตาม ข้อมูลของตัวละครนั้น หรือสังกัดนั้น ๆ ก็จะโผล่ขึ้นไปอยู่ในหน้า Lore รอให้คุณไปกดอ่านด้วยตัวเอง คราวนี้พวกไฟล์เอกสารข้างทาง จะเป็นแค่ข้อมูลเล็กน้อยยิบย่อยเท่านั้น ไม่ได้สำคัญถึงขั้นทำให้เราพลาดอะไรไป เกมมันควรจะเล่าเรื่องแบบนี้แหละ ยัด Lore เข้ามาให้อ่านเองเลย อยากอ่านเดี๋ยวอ่านเอง ไม่ต้องบังคับให้เราตามเก็บเอกสารแต่อย่างใด

แต่เล่าเรื่องดี ไม่ได้แปลว่าเนื้อเรื่องมันจะดี เราในฐานะ Kay Vess จะเหมือนกับต้นไม้ที่พัดไปตามแรงลม ถึงแม้เราจะเลือกได้ก็ตามว่าจะเข้าข้างหรืออยู่กับฝ่ายไหนแต่เราจะรู้สึกว่ามันไม่สุดเลยซักทาง ยิ่งถ้ามันโยงเข้ากับระบบเกมเพลย์ด้วย มันยิ่งทำให้ระบบนี้ขัดแย้งกับตัวมันเองที่จะเอาไว้เล่าในส่วนของเกมเพลย์ แถมด้วยความเนื้อเรื่องมันไปซ้ายที ขวาที แม้จะมี Main Quest ปรากฏชัดเจน แต่สักพักมันจะมี Main Quest 2 Main Quest 3 ตามมา จนเราไม่รู้แล้วว่าอันไหนมันคือ Main Quest กันแน่ และเรื่องราวมันก็จะอีรุงตุงนังไปหมด จนถ้าไม่ได้โฟกัสที่เนื้อเรื่องจริง ๆ เราก็แทบจะลืมไปเลยว่าเรากำลังทำงานให้ใคร ด้วยความที่เป้าหมายของตัวเอกมันมีแค่เงิน เราเลยไม่รู้สึกว่ามันกำลังจะไปทำอะไรที่ยิ่งใหญ่เลย แค่เงินลอยไปทางไหน เราก็ไปทางนั้น หรือต่อให้เราไม่อยากได้เงิน เราก็จะรู้สึกว่าจุดหมายปลายทางมันไม่น่าดึงดูดเอาซะเลย

Kay Vess เลยเป็นเหมือนตัวเอกที่เป็นคนธรรมดาจริง ๆ ใครจ่ายมากกว่าก็ไปอยู่กับฝ่ายนั้น หรือก็คือผู้เล่นเลือกเอง ถ้าหิวเงินมาก จนหักหลังพวกเดียวกันเอง มันก็ทำได้ แต่การเล่นบางช่วงมันจะยากขึ้นโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจด้วย คือมันมีทั้งดีและเสีย ในแง่ของเกมเพลย์มันสนุกจริง แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ที่ติ แต่ในแง่ของการเล่าเรื่อง ผมว่าหลายคนอาจจะไม่ชอบที่มันไปไม่สุดเนี่ยแหละ แต่สำหรับใครที่เป็นแฟนสตาร์วอร์ เอาแค่มานั่งอ่าน Lore หรือไปในที่ที่ไม่เคยไป หรือที่ที่เคยมีอยู่ในหนังมาก่อนแล้ว รับรองว่าฟินแน่นอน ขนาดตัวผู้เขียนไม่ใช่ฮาร์ดคอร์แฟน ยังแอบประทับใจในบางช่วงเลย คนที่ติดตามดูหนัง ดูซีรีส์มาครบ คงอินไม่ใช่น้อย

แต่ถึงแม้ว่าเกมจะมีพรรคพวกให้เลือกหลายฝ่าย ฉากจบมันก็มีแค่แบบเดียว เนื้อเรื่องดำเนินไปแบบเดียวเลย ซึ่งอันนี้มันขัดแย้งกันเองสูงมาก ไว้เราจะเล่าในส่วนของเกมเพลย์ แต่บอกเลยว่า Ubisoft ทำส่วนนี้ได้เสียของเอาเรื่องจริง ๆ เหมือนปัญหาเดิม ๆ ของเกมค่ายนี้ คือเขาไม่ยอมไปสุดสักทางนี่ล่ะ ภาพรวมของเนื้อเรื่องมันเลยดูแปลก ๆ ผมเพลิน ๆ กับมันนะ คือไม่รู้สึกว่ามันแย่หรือว่ามันดีอะไร แต่แค่เสียดาย ว่าถ้าเกิดเขาทำให้มันสุดไปเลย มันน่าจะดีกว่านี้แน่นอน ก็หวังว่าในอนาคต จะมีสักเกมที่เขาจะกล้าเดิมพันใส่สุดจริง ๆ อันนี้ถือว่ามาดีแล้วแต่ยังไม่ถึงจุดสุดจริง ๆ

Presentation

สิ่งที่ Ubisoft ทำได้ดีเสมอมา คือเรื่องโลกภายในเกมและการนำเสนอ ใครที่ดูรีวิวเกม Ubisoft ช่องเรามาตลอด นี่คือสิ่งที่เราต้องชมทุกเกม ไม่ใช่ว่าอวยอะไร แต่มันต้องยอมรับจริง ๆ ว่าเขาทำได้ดีมาก ในทุก ๆ พื้นที่ ทุกก้าวเดินที่เราเดินไป มันมีความเป็น Star Wars อยู่จริง ดาวทาทูอีนเอย ฐานทัพจักรวรรดิเอย หรือแม้แต่พวกเครื่องไม้เครื่องมือ อาวุธ มันเป็นกลิ่นอายของ Star Wars จริง ๆ

โลก Open World ที่กว้างใหญ่ของเกมนี้ก็มีอะไรให้เราสำรวจเยอะ แต่เราจะรู้สึกว่าหลาย ๆ ที่มันโล่งกว้างจนไร้ชีวิตชีวาไปหน่อย แต่จริง ๆ แล้วมันมีนะครับ ทุกอย่างมันจะถูกวางไว้ในจุดที่เราคาดไม่ถึงเสมอ อย่างตอนผมไปเหยียบดาวทาทูอินครั้งแรก มันเป็นทะเลทรายที่อ้างว้างมาก จะบอกว่ามันโล่ง แห้งแล้งก็ไม่ได้ เพราะในหนังมันก็เป็นแบบนี้ แต่พอเราได้ออกสำรสจ เราจะเริ่มเจอ Outpost ศัตรู เจอจุดที่มีไอเทมซ่อนไว้ และในที่สุดเราก็จะเจอชุมชนขนาดใหญ่เป็นต้น หรือดาวคิจิมิ ที่เป็นบรรยากาศลมหนาว น้ำแข็ง และหิมะ อันนี้เสียดายที่มันไม่ค่อยมีพื้นที่เปิดกว้างให้เราสำรวจนัก คือรวม ๆ แล้ว Ubisoft เขายังคงเด่นในเรื่องการทำเกม Open World ที่กว้าง และมีอะไรให้เราทำเยอะมาก ๆ และมันก็สวยมากเหมือนเดิม มือดีไม่เคยตก ลองดูฉากนี้ ภาพแบบนี้ มันไม่ได้แย่เลย ส่วนใบหน้าตัวเอก Kay Vess ที่หลายคนเอาไปขยี้กันตามโซเชียล จะบอกว่ามันก็เป็นบางมุมจริง ๆ แต่ถ้าเราพินิจพิจารณา มองหน้าในคัทซีนดี ๆ มันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น อันนี้เราไม่ได้ Defense แต่อยากให้เห็นกันอีกมุมนึงด้วยแค่นั้น

แต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ เราจะพบว่า ความแตกต่างในการนำเสนอของเกม Ubisoft นั้น มันจะแตกต่างแค่ช่วงแรก เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ มันจะค่อย ๆ กลับสู่แบบเดิมที่พวกเขาเคยทำ ใน Star Wars Outlaws ก็เช่นกัน ในช่วงแรกมันพยายามจะทำให้เราอินไปกับโลกในเกม ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งตามหาข้อมูลเพื่อทำให้ตัวละครเก่งขึ้น ความยากลำบากในการเล่นที่เหมือนจะบอกให้เราพยายามลอบเร้นให้มากที่สุด และอื่น ๆ อีกเพียบ แต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ ทุกสิ่งอย่างก็แทบจะประเคนให้ผู้เล่นเองเหมือนเดิม แถมพวกสิ่งของที่กระจัดกระจายอยู่รอบโลก เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเก็บมาจนครบด้วย คือเอาถึงแค่ระดับนึง ตัวละครเราก็แทบจะเป็นยอดนักสู้ วิ่งยิงได้แบบ Call of Duty ไปแล้ว

โลก Open World ที่มีอะไรให้ทำเยอะก็จริง แต่เราก็จะตื่นเต้นกับมันแค่ช่วงแรก ไม่ว่าจะเป็นการแทงพนัน การนั่งโต๊ะกินข้าว อันนี้บอกเลยว่าน่ารักมาก ๆ ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ ที่การนั่งกินข้าวมันจะมี Quick Time Event ให้กด แถมกดผิดก็ไม่มีผลอะไรอีก ตอนแรกนึกว่าถ้ากดพลาดเราจะโดนน้อง Nix มาแย่งกินอะไรงี้ ปรากฏว่ากดผิดก็ผิดไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และที่ตินิดหน่อยคือมันยาวไป เอาแค่นั่งกินข้าวกับกดปุ่มเนี่ย มันนั่งกันเป็นนาทีสองนาทีเลย แต่แลกกับความน่ารักที่เราได้เห็นจากน้อง Nix อันนี้ถือว่าหักลบกลบล้างกันได้

ที่ตอนแรกชอบ แต่พอมาเกมนี้ไม่ชอบ คือระบบแผนที่ ที่มันเป็นเส้นตรงบอกทิศด้านบน ยอมรับเลยว่าการเอาไปใช้กับเกมอื่น ๆ มันเป็นเรื่องดี แต่กับ Star Wars Outlaws ผมว่ามันไม่เวิร์ค คือตัวแผนที่มันมีทั้งชั้นบน ชั้นล่าง การบอกแค่ทิศทางอย่างเดียวมันไม่พอ บางทีวิ่งไปกะเก็บของ พอใกล้ถึง อ้าว ทางตัน แล้วต้องไปทางไหน มีทิศทางใดให้ไปต่อบ้าง เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ มันขัดใจคนช่างสำรวจพอสมควร ถ้าทำแบบนี้สู้มีมินิแมปเล็ก ๆ ไว้ แล้วระบุให้ชัดเจนว่าของมันอยู่บนหรือล่างน่าจะดีกว่า

มีอยู่อย่างนึงที่ผู้เขียนชอบ คือการได้มาซึ่งความสามารถใหม่ ๆ ในเกมนี้ ด้วยความที่มันไม่ใช่เกม RPG ไม่ใช่การเก็บเลเวลแล้วได้แต้มมาอันล็อกสกิล เขาเลยใช้ระบบที่เราจะต้องไปตามหาเบาะแสผู้เชี่ยวชาญด้านนั้น ๆ ไปช่วยงานเขา และได้ลองใช้ความสามารถนั้นจริง ๆ แก้ไขสถานการณ์หน้างานตรงนั้นเลย จบภารกิจเราก็ปลดล็อกสกิลมาใช้ อันนี้ไอเดียดีมาก ผมอยากบอก Ubisoft ว่าถ้าจะทำเกมใหม่ที่ไม่ใช่ RPG ควรเก็บระบบนี้ไว้สานต่อหรือดัดแปลงเป็นอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างเช่นตอนแรก Kay Vess จะยังไม่สามารถใช้อาวุธพิเศษเป็น เราก็รู้เบาะแสว่า Rooster คนนี้เชี่ยวชาญเรื่องอาวุธ เราก็ไปติดต่อ ไปช่วยงานเธอ จนฉากสุดท้าย เราได้ลองใช้อาวุธเหล่านี้ยิงต่อต้านสตรอมทรูปเปอร์ และเมื่อจบภารกิจ ก็จะปลดล็อกความสามารถที่ Kay ใช้อาวุธพิเศษเหล่านี้ได้ หากไปเจอ อันนี้คือเจ๋งมาก พวกสกิลลอบเร้นหรือทักษะอื่น ๆ ก็คล้าย ๆ กันประมาณนี้นี่แหละ นี่คือหนึ่งในระบบที่ดีที่สุดของเกมนี้เลยก็ว่าได้

มีระบบ Reputation หรือค่าชื่อเสียงของแต่ละฝั่ง แต่ละฝ่าย อันนี้ไอเดียดีมาก ๆ คือการที่เราเลือกทำงานให้กับฝ่ายไหนก็ได้ แล้วจะมีการสะสมค่าชื่อเสียงของแต่ละฝ่าย ที่มันจะส่งผลกับเกมเพลย์การเล่นทั้งหมด แต่ผมบอกเลยว่านี่คือระบบที่ออกแบบมาได้เสียดายของที่สุด และไร้สาระที่สุดแล้ว เพราะอะไรเดี๋ยวช่วงเกมเพลย์รู้กัน บอกเลยว่ามันน่าเสียดายมากจริง ๆ

แต่นอกนั้นอย่างอื่นก็จะรู้สึกว่ามันคล้ายของเดิมจาก Ubisoft วิ่งเจอ Outpost ตบศัตรู เก็บกล่อง ได้ของที่ใช้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง มันเลยทำให้เรายังรู้สึกว่า โลกกว้างของ Ubisoft นั้น มันไม่จำเป็นต้องเก็บทุกอย่างขนาดนั้น ผมอยากให้เขาทำเหมือนยุคแรก ๆ Outpost ไม่ต้องมีเยอะ แต่ให้ทุกจุด มีคุณค่า มีเซ็ตไอเทม มีของสำคัญจริง ๆ ไอ้พวกกระจุกกระจิก คอสเมติคนี่ไม่ต้องก็ได้ เพราะสำหรับคนที่ไม่สนใจ มันก็คือไม่สนใจเลย

อีกอย่างนึงที่ต้องชมก็คือเรื่องของ Accessibility หรือเรื่องของการเข้าถึง อันนี้มันเหมือนดาบสองคมของ Ubisoft ที่ผมมองว่าดี แต่มันก็เป็นอะไรที่ทำร้ายเกมและฐานผู้เล่นในระดับนึง นั่นคือตัวเกมจะสามารถปรับตั้งค่าความยากง่ายได้แบบละเอียดมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลอบเร้น การไขปริศนา รวมไปถึงเรื่องของความยากง่ายในการหลบหนีเวลาเราโดนไล่ล่าด้วย และการแก้ไขปริศนาเช่นการ Slice หรือการแฮกประตูก็ตั้งค่ายากง่าย หรือเปิด-ปิดได้เลยด้วยซ้ำ ทำให้ผู้เล่นทุกคนสามารถออกแบบประสบการณ์การเล่นเกมของตัวเองได้อย่างเต็มที่ แต่ปัญหาก็คือคราวนี้ฐานผู้เล่นจะแตกออกเป็นสองฝั่ง คนนึงบอกง่าย คนนึงบอกยาก ซึ่งเป็นผลจากการตั้งค่าหลาย ๆ อย่างไม่เท่ากัน ทำให้ประสบการณ์เล่นเกมก็ไม่ได้เท่ากันด้วย ก็นั่นแหละครับ ปัญหาของ Ubisoft เหมือนที่บอกไป เขาอยู่ตรงกลางเสมอและไม่เคยไปสุดสักทาง และปล่อยให้ผู้เล่นจัดการความสนุกกันเอาเอง

หลังเล่น เราก็เลยเข้าใจแล้วว่าทำไมสื่อหลายเจ้าให้คะแนนเกมนี้กลาง ๆ เพราะเนื้อเรื่องของกลาง การนำเสนอก็กลาง แล้วเกมเพลย์ล่ะ เป็นยังไง ไปดูหัวข้อถัดไปกันเลย

Gameplay

ไม่ว่าใครจะตื่นเต้นหรือไม่ แต่การที่มันโปรโมทว่านี่คือเกม Open World เกมแรกของ Star Wars แม้เราจะไม่ได้เล่นเป็น Jedi แต่ส่วนตัว ผู้เขียนก็รอเล่นมาโดยตลอด แต่เมื่อได้เล่นจริง ก็รู้สึกว่าค่ายเขามีความพยายามอย่างมากที่จะแหกกรอบตัวเอง แต่ก็ไม่กล้าใส่สุด ไม่กล้าออกนอกกรอบที่ตัวเองเคยทำไว้เลย

เริ่มกันที่การลอบเร้น ใครที่ดูวิดีโอที่พี่เนกซ์ไปลองเล่นมาถึงอเมริกาแล้วเขาบอกว่า มันใช้การลอบเร้นเยอะมาก ผมจะบอกว่ามันจริง แต่จริงแค่ 3-4 ชั่วโมงแรกเท่านั้น โดยเฉพาะภารกิจหลัก 2-3 ชุดแรกที่มันบังคับเราลอบเร้นเท่านั้น แถมห้ามโดนจับได้ สเตลท์แตกภารกิจล่มทันที สกิลก็ไม่ค่อยจะมี ต้องเน้นการหลบหลีกแบบเพียว ๆ แต่เหมือนว่าตอนนี้เขาจะแพทช์แก้ไปแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแก้อะไรไปบ้าง

ด้วยความที่เราติดภาพความเป็นจริงว่า การลอบเร้น มันต้องเนียน ต้องไม่ให้อีกฝ่ายเห็นเราเลยแม้แต่เงาอะไรก็ตามที่แว่บ ๆ ออกไป ในช่วงแรก เลยกล้า ๆ กลัว ๆ กับการลอบเร้น บางทีนั่งรอเป็นนาที เอาให้ชัวร์ว่าเนียนจริง แต่พอหงุดหงิดมาก ๆ ก็เริ่มลองวิ่ง ลองเสี่ยงดู ปรากฏว่า มันก็ไม่เห็น นั่นเพราะ A.I. ในเกมมันไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น มันไม่เหมือนมนุษย์จริงที่เรามองเห็นอะไรในสายตาแล้วจะรู้เลยว่าตรงนั้นมีคน เกมมันไม่ใช่ บางฉากคือ ศัตรูอยู่ไกลหน่อย เราโผล่ออกไปทั้งตัว ยืนขึ้นมาเต็มตัว มันยังมองไม่เห็นเราเลย เพราะระยะตรวจจับของ A.I. มันไม่ได้มาถึง พอมีความคิดแบบนี้ การลอบเร้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หนักกว่านั้นคือช่วงหลัง หลังจากปลดอาวุธบลาสเตอร์และโหมดปืนใหม่ ๆ มานี่ ผมวิ่งยิงทิ้งทั้งค่าย ไม่ต้องไปกดสัญญาณแจ้งเตือนอะไรเลย นี่คือความไม่สุดอย่างแรกของ Ubisoft จะเอาลอบเร้นเลยก็ไม่กล้าทำ จะเอาบู๊แหลกเลยก็คงโดนคำครหาอีก เลยออกมากลาง ๆ แบบนี้

สกิลและความสามารถของ Kay Vess หลัก ๆ แล้วจะได้จากการเรียนรู้จากมาสเตอร์คนใหม่ ๆ ที่เก่งกาจเฉพาะทาง อยากชำนาญอาวุธ ไปทำเควสกับคนนี้ อยากชำนาญการขับขี่ ปรับแต่งพาหนะได้เยอะ ๆ ก็ไปทำเควสกับคนนั้น แต่ทำไปทำมา ผมก็รู้สึกว่าการที่เรามีสกิลอยู่ไม่กี่ชนิด กับบลาสเตอร์อีกสามโหมด มันก็โหดพอจะจบเกมได้แล้ว มันไม่มีแรงบันดาลใจให้เราไปอัปเกรดหรือทำอะไรเพิ่มเลย ผิดกับเกมอื่นของ Ubisoft ที่เราอยากไปทำโน่นทำนี่ให้ตัวละครเก่งขึ้น นี่ผมเล่นไปแค่แปปเดียวก็รู้สึกว่าตัวละครเรามันพร้อมจบเกมได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่โลกในเกมยังเหลืออะไรให้สำรวจอีกเพียบเลย ซึ่งมันทำให้ระบบต่าง ๆ ที่ออกแบบมา โดนเมินไปโดยปริยาย ระบบเหล่านั้นมีอะไรบ้าง มาดูกันต่อ

เริ่มจากชุดเซ็ต เกมนี้ Kay Vess จะมีชุดเซ็ตและ Charm ให้ใช้มากมายหลายแบบ และมีออปชันที่ต่างกันด้วย เช่นฟื้นพลังชีวิตเร็วขึ้น ตกจากที่สูงแล้วเจ็บน้อยลง แต่.. ในเมื่อตัวละครเรามันเก่งเร็ว มันก็ไม่จำเป็นจะต้องไปหามาใช้ ผมเล่นไปครึ่งเกม ใช้ชุดที่มีแต่แรก มีเปลี่ยน Charm เพิ่มหลอดพลังชีวิตให้สูงขึ้นจะได้สบายขึ้น แค่นั้นก็พอแล้ว หรือพวกม็อดปืนบลาสเตอร์ ถ้าคุณปลดโหมดปืนครบ คือยิงเร็ว ยิงปืนไฟฟ้า ยิงแรงมาครบสามแบบ กับอัปเกรดอีกสักอย่างละ 1 ขั้น แค่นี้คุณก็แทบจะสู้กับศัตรูได้ทั้งจักรวาลแล้ว เห็นแล้วพวกเจไดก็คงช็อกเหมือนกัน บลาสเตอร์กระบอกเดียวกู้โลกได้ มีอยู่จริง

หรือแม้แต่ยานอวกาศ Trailblazer มันก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปเสียเวลาอัพของให้มันมากขนาดนั้น เพราะการขับยานในเกมนี้ไม่ใช่หัวใจหลัก จริงอยู่ เราจะได้ขับยานสู้แบบเท่ ๆ ได้ฟีลแบบในสตาร์วอร์จริง ๆ แต่มันก็ไม่ได้นานมาก แปปเดียวคุณก็ต้องแลนดิ้งที่ดาวสักดวง เพราะคอนเทนต์หลัก ๆ มันอยู่บนผิวดาวมากกว่า นั่นทำให้การวิ่งหามาสเตอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านยานอวกาศกับอัปเกรดยานก็มีความจำเป็นน้อยลงไปตาม ๆ กัน อ้อ อีกข้อดีนึงของเกมนี้ ฉากแลนดิ้งยาน ทั้งขึ้น ทั้งลง ฉากจัมป์วาร์ป และการขับยาน มันทำได้ดีกว่า Starfield จริง ๆ ครับ อันนี้ไม่อยากเทียบ แต่มันอดไม่ได้ ถึงจะมีเนียนซ่อนฉากโหลด แต่มันก็ทำได้สร้างสรรค์กว่าเยอะเลย

และที่หนักที่สุดก็คือความไร้ค่าของระบบ Reputation หรือค่าชื่อเสียง ตอนแรกก็คิดว่า มันจะทำให้เกิดความสนุก ความสดใหม่ในการดำเนินเรื่องแน่นอน แต่ปรากฏว่าเล่นไปเถอะครับ ระบบนี้มันไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลย แถมดีไซน์มาขัดทางกันสุด ๆ ยกตัวอย่างเช่น เราชอบแก๊ง Crimson Dawn มาก คอยรับงานช่วยเหลือพวกนี้เป็นประจำ แต่พอเควสหลัก ปรากฏว่ามันบังคับให้เราต้องหักหลังแก๊งนี้เฉยเลย ไอ่ค่าชื่อเสียงที่สะสมมาแทบตาย ก็ลดฮวบ แล้วเราจะไปทำเควสชื่อเสียงเพื่ออะไร? แถมของรางวัลก็ไม่ค่อยจะคุ้มด้วย รักแก๊งไหนขึ้นมา ถ้าเนื้อเรื่องมันบังคับ มันก็ต้องหักหลัง ต้องโดนลดค่าชื่อเสียงอยู่ดี แถมเล่นไปเรื่อย ๆ มีการใช้ข้อมูลหรือไอเทมบางอย่างที่หามาได้ เพื่อเพิ่มค่าชื่อเสียงได้อีก ส่วนตัวมองว่าไอเดียนี้มันดีมากเลยนะ แต่พอเอามาทำจริง ยัดระบบเกมหลาย ๆ อย่างลงไป แล้วมันไม่เวิร์คเฉย เข้าใจว่ามันทำยาก แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าทำให้มันไร้ค่าขนาดนี้ คือคุณจะจบเกมโดยที่คุณไม่ต้องไปสน Reputation ชื่อเสียงอะไรเลยก็ได้ เพราะถ้าเกิดคุณบาดหมางกับแก๊งไหนอยู่ เควสหลักบังคับให้คุณต้องไปตรงที่ของแก๊งนั้น ก็ลำบากโดนไล่จับตัวอีก ยืดเวลาการจบเกมเข้าไปอีก แล้วไอ่ระบบโดนไล่ล่าแบบที่เขาโชว์ในตัวอย่างเนี่ย มันมีจริงนะครับ แต่มันไม่สนุกในการทำเลย ฉากการขี่สปีดเดอร์เท่ ๆ หลบหนีการไล่ล่า มันก็สนุกแค่ช่วงแรก ๆ ที่เจอ เพราะหลังจากนั้น ระบบเกมมัดรวมกันมา มันจะรำคาญเอาแทน เลยกลายเป็นว่าเขาดีไซน์ระบบเกมมาขัดแข้งขัดขากันเองซะงั้น ถ้ามันทำดีกว่านี้ มันคือเกมที่ดีมาก ๆ เกมนึงเลย แต่พอมันทำให้ทุกสิ่งอย่างที่เราทำมา ไร้ค่า เพราะการเล่นเนื้อเรื่อง ก็จบกัน

กับอีกอย่างที่ไม่ไหวจะเคลียร์ และเป็นผลกับการโดนตัดคะแนน คือเกมนี้มันดันไม่มีการเซฟเช็คพอยท์ให้ในจุดสำคัญ ๆ ในเกมอื่นหรืออย่างน้อยก็เกมของ Ubisoft เนี่ย เวลาคุณสำรวจ Outpost หรือฐานทัพศัตรู แล้วตาย ส่วนมากคุณจะเกิดย้อนไปจากจุดที่ตายเล็กน้อย เว้นแต่คุณเล่นความยากสูง ๆ อันนั้นก็อีกเรื่อง แต่เกมนี้ ถ้าคุณตายขึ้นมา โน่นเลยครับ ย้อนไปเริ่มใหม่ ศัตรูเกิดใหม่หมด เก็บของใหม่หมด อันนี้ทีมงาน GamingDose เล่นกัน 3 คน บ่นทุกคน ผมนี่เจอกับตัว เก็บศัตรูยกฐานแล้ว กำลังวิ่งหาคีย์ไอเทม ปรากฎว่าพลาด ตกที่สูงตาย โน่นเลย เริ่มใหม่หมด ขับสปีดเดอร์มาเข้าฐานใหม่ ตีศัตรูใหม่ เก็บของใหม่ สารภาพเลยว่าแทบจะ Alt+F4 คือเกมอื่นมันไม่เป็นแบบนี้ ทำไมเกมนี้มันใช้วิธีนี้ก็ไม่รู้

ฟังดูเหมือนจะบ่นอย่างเดียว มาฟังข้อดีกันบ้าง นั่นคือมันยังเป็นเกมที่เล่นสนุกในสไตล์ Ubisoft เลย ผมเชื่อว่าหลายคนยังคงชอบอะไรเดิม ๆ แบบนี้เพราะมันกินง่าย ย่อยง่าย และครั้งนี้มันเอาธีมสตาร์วอร์มาใช้ได้คุ้มมาก ๆ แถมมันยังไม่ได้ดูเหมือน Far Cry หรือ Division โคลนนิ่งด้วย ระบบหลายอย่างมันโอเคเลย แค่เขาเลือกที่จะไม่ใส่สุดเท่านั้น ถ้าคุณสนุกกับการตีฐาน เปิดกล่อง สะสมคอสเมติก อัปเกรดสกิล แล้วไปจบเกม เป็นสูตรสำเร็จของ Ubisoft ค่ายนี้แตะมาตรฐานบาร์เดิมของเขาได้เหมือนเดิม

ต่อมาคือน้อง Nix เจ้าคู่หูแสนน่ารักของเรานั้น ไม่ได้มีแต่ความน่ารัก เพราะมันมีประโยชน์และทำให้รูปแบบการลอบเร้นของเราสนุกขึ้นจริง ถึงแม้จะต้องเรียนรู้หรือปลดล็อกสกิลบ้าง เพื่อให้มันใช้งานได้ แต่น้องก็เก่งตั้งแต่แรก การได้คอมโบลอบเร้น หรือใช้น้อง Nix ช่วยไขปริศนาและกำจัดศัตรู ตรงนี้ผมว่าเขาทำได้ดี และอนาคต ถ้าจะมีระบบคู่หู ก็อาจจะต้องลองพิจารณาดูเกมนี้ไว้เป็นตัวอย่างได้บ้าง ในการทำยังไงให้คู่หูของเรามีประโยชน์ และ หรือน่ารักอะนะ

ส่วนที่เหลือ ผมว่ามันไม่ใช่จุดที่ติได้เต็มปาก หรือชมได้เต็มคำเหมือนกัน ตอนแรกผมก็เอียงคอสงสัยกับคะแนนสื่อหลายเจ้าที่กลาง ๆ ว่าทำไมมันถึงออกมากลาง ๆ แต่พอลองเล่นเองก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมมันถึงต้องเป็นคะแนนนี้ เพราะต่อให้มันไม่ว้าว ไม่ได้ดีจนสุดยอด แต่ถามว่ามันแย่ขนาดนั้นเลยไหม ก็ไม่อีกอยู่ดี มันอยู่ที่เดิม มาตรฐานเดิมที่มันเคยทำได้นั่นแหละครับ

ทั้งหมดนี้มันเลยทำให้ Star Wars Outlaws กลายเป็นเกมระดับกลาง ๆ ครับ สำหรับคนที่สาปเกมนี้ ผมจะบอกว่า มันไม่ได้ห่วยแตกถึงขั้นเป็นขยะที่ไม่ควรค่ากับการเล่น แต่สิ่งใหม่ ๆ กับระบบบางอย่างมันไม่เวิร์ค ถ้าคุณเป็นแฟนยูบิซอฟ คุณจะรู้สึกว่าเกมมันก็ยังคงเพลิดเพลินได้ง่าย ย่อยง่าย สนุกด้วยซ้ำในบางช่วง แต่ถ้ามองในมุมอีกมุมที่ว่า คุณกำเงินอยู่ 70 เหรียญ แล้วไม่สามารถจ่ายเงินซื้อเกมได้หลาย ๆ เกมพร้อมกัน ก็พอจะเข้าใจได้ที่ว่ามันไม่คุ้ม แต่ที่อยากบอกก็คือ มันไม่ถึงขั้นขยะเดนเล่นไม่ได้แน่นอน ถ้าอยากเล่นจริง ๆ รอลดราคา หรือใช้คอมโบคู่กับ Ubisoft Coin แล้วค่อยซื้อ ก็ยังไม่สายจนเกินไป

Performance

สำหรับตัวเกมผมเล่นบน PC จัดเต็มด้วยสเปค i9-13900K แรม 32GB การ์ดจอ RTX4070 เล่นบนความละเอียด 1080p สเปคขนาดนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลื่นฉิว ดันทุกอย่างขึ้นสุด เปิด Ray Tracing ระดับ High ดัน Smart Direct Lightning ขึ้น ก็ยังเล่นได้ที่ 80-100 เฟรม ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือนอกเมือง ในฟุตนี้คุณอาจจะเห็นเราอยู่ที่ดาวทาทูอีนที่ออปเจคมันน้อย แต่วิดีโอเกือบทั้งหมดในฟุตนี้ เราอัดด้วยกราฟิกระดับเดียวกันตลอด ลื่นฉิวครับ ไม่มีปัญหา แต่ถ้าจะไปเล่นในระดับความละเอียดที่สูงกว่า 1080p อันนี้ทุกอย่างอาจจะต้องแรงขึ้นอีกหน่อย 

แต่ที่ต้องสาปจริง ๆ เนี่ย บั๊ก คือถึงแม้ผมจะเจอน้อยหน่อย แต่ที่ผมเจอก็ไฮไลท์เลยคือ เข้าไปหาอะไหล่ซ่อมยาน กลายเป็นซิ่งติดซอกหินซะงั้น บั๊กกินจนทำอะไรไม่ได้ ต้องรีเซฟไปเลย โชคดีที่เวลาภารกิจสำคัญแบบนี้ มันรีเช็คพ้อยท์ให้ไม่ไกลมาก แต่ว่ากันตามตรง ผมเจอบั๊กแค่รอบนี้รอบเดียว ที่เหลือไม่เจอเลย 

นอกจากนั้นในส่วนของ Graphic และ Video ก็ถือว่าปรับและตั้งค่าได้ละเอียดสุด ๆ แถมมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของยุคปัจจุบันมากมาย ทั้ง DLSS, Frame Generation ทำให้ผู้เล่นสามารถตั้งค่าต่าง ๆ ได้มากมายให้เหมาะสมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง แต่เราไม่ได้เล่นบนคอนโซล เลยไม่รู้ว่าประสิทธิภาพบนเครื่อง PS5 เป็นยังไงบ้าง

ภาพรวมของ Star Wars Outlaws นั้น มันไม่ใช่เกมดีอย่างที่ทุกคนได้เห็นกระแสกันไป แต่ก็ไม่เลวร้ายถึงขั้นที่หลายคนพูดถึงเหมือนกัน เป็นอีกครั้งที่ Ubisoft นำเสนอได้ดี แต่ระบบหลายอย่างมันอยู่ตรงกลางเกินไป ไม่กล้าไปสุดสักทาง บวกกับหลาย ๆ อย่างที่มันไม่ได้ฉีกอะไรไปมากจากผลงานเดิม ๆ มันจึงเป็นอีกเกมที่ดีแต่ไม่สุด และถ้าคุณอยากเล่นจริง ๆ รอลดแล้วซื้อมาเล่นก็ยังควรค่าให้ลองอยู่แน่นอน

Star Wars Outlaws

6.5 / 10 คะแนน

6.5

ข้อดี

  • โลกภายในเกมสวยงาม เต็มเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของ Star Wars
  • กิจกรรมภายในเกมให้ทำเยอะตามสไตล์เกมของ Ubisoft
  • น้อง Nix ที่เป็นทั้งคู่หูที่ดีและน่ารัก!
  • ระบบการเรียนรู้สกิลใหม่ ๆ ที่ไอเดียดีจนน่าเก็บไปสานต่อในเกมอื่น ๆ

ข้อเสีย

  • ไปไม่สุดสักทาง ไม่ว่าจะบู๊หรือลอบเร้น
  • บั๊กที่ไม่เยอะ แต่มักจะ Critical และเกิดตอนสำคัญตลอด
  • เกมเพลย์จะเริ่มกลับสู่ลูปเดิมตั้งแต่ช่วงแรกของเกม ทำให้เบื่อเร็ว
  • ระบบ Reputation ที่ไม่มีความหมายใด ๆ เลย หากเราจะโฟกัสไปที่เนื้อเรื่อง

Aisoon Srikum

Back to top