เป็นผลงานที่ดูจะเปิดตัวและวางจำหน่ายแบบเงียบ ๆ แต่บอกเลยว่านี่เป็นเกม Visual Novel ผสมเกมวางแผนที่มีของ สามารถสะกิดใจสายเนื้อเรื่องและแฟนเกมวางแผนจนหยุดเล่นไม่ได้ กับผลงานเกม The Hundred Line: Last Defense Academy เกมที่ได้สองผู้กำกับสาย “โคตรคัลท์” อย่าง Kazutaka Kodaka (เจ้าของผลงานเกมตระกูล Danganronpa) และ Kotaro Uchikoshi (เจ้าของผลงานเกม Zero Escape, AI: Somnium Files) มาจับมือกันสร้างสรรค์เรื่องราวสุดพิลึก ที่เปิดเกมมาไม่ถึงชั่วโมงก็รู้ได้ทันทีว่า “นี่ไม่ใช่แค่วีชวลโนเวลธรรมดาแน่นอน”
และนี่คือรีวิวของ The Hundred Line: Last Defense Academy ฉบับ GamingDose ที่จะพาคุณไปดิ่งลงไปในความคลั่งของรั้วโรงเรียนป้องกันโลกแห่งนี้
“100 เรื่องราว 100 ความหมาย — The Hundred Line คือเกมที่ไม่เพียงแค่เล่น แต่ต้อง ‘สัมผัส’ ด้วยใจ”

Story : เมื่อโรงเรียนคือสนามรบ

คุณจะรับบทเป็น Takumi Sakumo เด็กหนุ่มธรรมดาที่ใช้ชีวิตอันแสนสงบกับเพื่อนสนิทสาว Karua แต่ความสงบไม่นานก็ถูกทำลาย เมื่อสิ่งมีชีวิตประหลาดปรากฎตัวขึ้น
Takumi ตื่นขึ้นมาในโรงเรียนชื่อ Last Defense Academy พร้อมกับหนุ่มสาวคนอื่น ๆ อีก 14 คน โดยพวกเขาทั้งหมดได้รับคำสั่งจากหุ่นยนตร์ปริศนาให้ปกป้อง “โรงเรียน” จากการรุกรานเป็นเวลา 100 วัน โดยมีโลกและชีวิตของคนที่พวกเขารักเป็นเดิมพัน
ตัวเกมนั้นอัดแน่นไปด้วยปริศนาและปมต่าง ๆ มากมายตั้งแต่เริ่ม แม้จะจุดติดช้าในช่วงต้นของเกม แต่ไม่นานนักตัวเกมจะโถมผู้เล่นด้วย Plot Twist ที่ชวนติดตาม พร้อมปริศนาใหม่ ๆ ที่ปรากฎตัวออกมาเป็นระยะ
เรียกได้ว่าเนื้อเรื่องคือส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของผลงานเกมชิ้นนี้ ก็ว่าได้ แน่นอนว่าการนำเสนอจะถูกเล่าผ่านสไตล์ “อนิเมะญี่ปุ่น” ตัวละครมีความเว่อร์ หรือถ้าใช้ศัพท์สมัยนี้ก็ต้องบอกว่ามีความ “เบียว” แบบจัดเต็ม ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นลายเซ็นสำคัญของ Kazutaka Kodaka ผู้พัฒนาผลงานชิ้นนี้มาตั้งแต่เกมเก่าอย่าง Danganronpa
แน่นอนว่าเนื้อหาแบบการ์ตูนญี่ปุ่นอาจจะไม่ได้ถูกใจผู้เล่นทุกคน แต่หัวใจของเกมก็มีเรื่องราว Sci-fi ที่สนุกตื่นเต้น พร้อมเส้นเรื่องที่บันเทิงชวนให้ติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ
แถมด้วยโครงสร้างระบบเกมที่ให้ผู้เล่นตัดสินใจมีตัวเลือกอย่างอิสระ เลือกเส้นทางของตัวเอง และปลดล็อคตอนจบที่มีมากถึง 100 รูปแบบ ทำให้ The Hundred Line กลายเป็นเกมที่ “ยิ่งเล่นยิ่งลึก” อย่างแท้จริง
เอาเป็นว่าเนื้อหาของเกมนั้นซับซ้อนและถูกเขียนขึ้นมาอย่างดีจน เราไม่อยากจะเล่าอะไรมากเกินไปอยากขอให้ใครที่สนใจไปลองสัมผัสด้วยตัวเองเต็ม ๆ จะดีที่สุด
Presentation – ตัวละครมีเสน่ห์ชวนให้เอาใจช่วย
แม้หลายคนจะเทียบ The Hundred Line กับ Danganronpa อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (เพราะใช้ทีมงานหลักเกือบชุดเดียวกัน) แต่ต้องบอกว่าเกมนี้ ไม่ใช่เกม “จับนักเรียนมานักเรียนฆ่ากันเอง” แบบเดิม ๆ
แทนที่จะให้ความสนุกอยู่ที่การไขปริศนา ว่าใครเป็นคนร้าย The Hundred Line กลับเลือกเล่าเรื่องผ่าน “ตัวละคร” และการเปลี่ยนแปลง เติบโตของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจ จริยธรรม หรือแม้กระทั่งการเผชิญหน้ากับความผิดพลาดของตัวเอง
ทุกคนมีเหตุผลที่ไม่อยากสู้ ทุกคนมีบาดแผล และบางครั้ง “ตัวร้าย” ของเรื่องก็อาจเป็นเพื่อนร่วมทีมเสียเอง ความซับซ้อนตรงนี้คือสิ่งที่ทำให้เกมมีหัวใจที่ชวนให้ติดตามไปตลอดตั้งแต่ต้น
Gameplay : ผสม Visual Novel + Tactical RPG ได้ลงตัวแบบคาดไม่ถึง
สำหรับใครที่ไม่คุ้นเคยกับเกมแนว Visual Novel อาจคิดว่าเกมนี้จะมีแค่กดอ่านอย่างเดียว แต่ The Hundred Line มีส่วนผสมระบบต่อสู้แบบ Turn-Based Tactical ที่สนุกอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
ตัวเกมมีระบบต่อสู้แบบ Turn-Based ที่เรียบง่ายแต่สนุก เน้นกลยุทธ์แบบเบา ๆ ไม่ยากจนเกินไป
ตัวละครแต่ละตัวมีความสามารถ ลักษณะเด่น สไตล์การเล่นที่แตกต่างกันออกไป และแน่นอนว่าทุก ๆ ตัวสามารถอัพเกรดเพื่อเสริมพลังและปลดล็อกความสามารถใหม่ ๆ ได้อีกด้วย
ในส่วนของระบบการต่อสู้นั้น ส่วนใหญ่เราจะได้รับภารกิจง่าย ๆ เช่นการจัดการศัตรูให้หมด เอาชนะศัตรูระดับบอส หรือป้องกันจุดต่าง ๆ ให้ครบเวลาที่กำหนด
ด้วยการที่ตัวเกมมีระบบการต่อสู้ที่ค่อนข้างเรียบง่าย แม้จะมีลูกเล่นต่าง ๆ เช่นการโจมตีพลีชีพ (ไม่ต้องห่วงตัวละครในเกมตายในสนามรบแล้วฟื้นได้ แถมเกมก็ผลักดันให้เราตายในสนามรบบ่อย ๆ) การสร้างไอเทมในฉาก หรือการใช้ท่าไม้ตาย ก็ทำให้ตัวเกมมีจุดอ่อนในฝั่งนี้ด้วยเช่นกัน
นั่นก็คือแม้ตัวละครในเกมจะเยอะและมีความสามารถต่างกัน แต่รวม ๆ แล้วตัวเกมขาดความหลากหลายในเรื่องกลยุทธ์การต่อสู้จากทั้งฝั่งเราและศัตรู แน่นอนว่าส่วนนี้อาจจะไม่ใช่จุดด้อยสำคัญหากเทียบกับ “เนื้อเรื่อง” และระบบตัวเลือกอื่น ๆ ที่เป็นหัวใจหลัก แต่ก็ถือเป็นอีกส่วนสำคัญที่ผู้เล่นต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ภายในเกม
นอกจากเกมการเล่นในส่วนของการต่อสู้หลัก ๆ แล้ว นี้ยังมีระบบสำรวจแบบบอร์ดเกมให้ผู้เล่นใช้ตามหาทรัพยากรต่าง ๆ ระบบ Free Time ที่ให้ผู้เล่นมีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในสนามรบ และใช้เวลาในโรงเรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่นเพิ่มค่า Status หรือพูดคุยกับเพื่อน ๆ แบบ Social Sim เรียกได้ว่าระหว่างเล่นก็ทำให้นึกถึงเกมตระกูล Persona ก็ว่าได้ (และตัวเกมก็ใส่มุกล้อตัวเองเอาไว้ด้วยเหมือนกัน)
จุดขายใหญ่ของเกมคือ “จำนวนตอนจบ” ที่มากถึง 100 รูปแบบ — บอกตรง ๆ ว่าตอนแรกที่ตัวเกมโฆษณาว่าจะมีฉากจบ 100 แบบ ผมก็คิดไว้ว่ามันน่าจะเป็นฉากจบที่มีรายละเอียดต่างกันไปแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กลายเป็นว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ฉากจบแบบ Bad Ending หรือฉากจบอื่น ๆ แทบทุกเส้นทางมีโครงเรื่องของตัวเอง มีการเฉลยปมใหม่ มีบทพูดใหม่ และแม้แต่ตัวละครบางคนที่ดูไม่มีบทอะไร ก็อาจกลายเป็นตัวแปรสำคัญในเส้นทางอื่น ๆ ได้อย่างไม่คาดคิด
ต้องยอมรับว่าตัวเกมถูกออกแบบมาโดยใส่ใจในประเด็นฉากจบ 100 แบบอย่างแท้จริง และสำหรับใครที่เป็นสาย Completionist การเก็บครบทั้ง 100 Ending จะเป็นการผจญภัยที่ใช้เวลาหลายสิบชั่วโมงแน่นอน
Graphics & Arts, Audio & Music – อาจไม่ใช่เกมระดับ AAA แต่ก็ทำงานได้สมบูรณ์
ผลงานออกแบบตัวละครจาก Rui Komatsuzaki และดนตรีประกอบจาก Masafumi Takada เป็นอีกจุดที่ทำให้เกมนี้ดูดีและฟังเพลินตลอดการเล่น เสริมด้วยการพากย์ภาษาอังกฤษที่ยอดเยี่ยม มีการถ่ายทอดอารมณ์ได้หลากหลายและหนักแน่นมากในหลายฉากสำคัญ
แน่นอนว่าตัวเกมเป็น Visual Novel ดังนั้นการนำเสนอส่วนใหญ่ก็จะเป็นการอ่าน Text ซึ่งก็ไม่ใช่เนื้อหาทุกส่วนในเกมจะมีเสียงพากย์ทั้งหมด แต่ตัวเกมก็เลือกใช้ส่วนที่มีเสียงได้อย่างสมดุล ไม่รู้สึกติดขัดแต่อย่างใด
เรียกได้ว่าแม้เกมจะไม่มีงบระดับ AAA แต่ก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ทั้งความกดดัน ความแปลก ความบ้า ความเบียว และความอบอุ่นได้ครบทุกมิติ โดยเฉพาะเสียงพากย์ของ Jay Rincon (Takumi), Leader Looi (Nozomi) และ Joseph May (Sirei) ที่เล่นใหญ่ได้อย่างมีชั้นเชิง
งานภาพอาจจะมีเหลี่ยมมุมให้เห็นอยู่บ้าง เพราะนี่ไม่ได้ถือเป็นผลงานเกมที่เน้นเทคโนโลยีการแสดงผลอยู่แล้ว แต่อาศัยการออกแบบงานศิลป์ผ่านตัวละครและสภาพแวดล้อมในเกม อย่างไรก็ตามงานอนิเมชั่นระหว่างการต่อสู้และงานภาพในบางจุดรวมไปถึงคัทซีนบางอันก็อาจสร้างความขัดใจให้ผู้เล่นได้ในแง่ของรายละเอียดที่ต่ำไปหน่อย
สรุป
The Hundred Line: Last Defense Academy คือเกมที่มีหลายบุคลิก มีความบ้า มีหัวใจที่ชวนให้รัก ทุกอย่างผสมกันอย่างลงตัว มันคือ Visual Novel สำหรับคนที่ไม่เคยเล่น Visual Novel และเป็น TRPG สำหรับคนที่อยากลองอะไรใหม่ ๆ
แม้จะมีช่วงต้นเกมที่เนิบช้า และตัวละครบางคนอาจน่าหมั่นไส้ แต่เมื่อคุณเล่นไปถึงจุดหนึ่ง เกมนี้จะ “ดูดคุณเข้าไป” จนยากที่จะถอนตัว
หากคุณเคยชอบ Danganronpa, AI: Somnium Files, หรือแม้แต่ Persona 5 — นี่คืออีกหนึ่งเกมที่คุณควรหาเวลาเล่นให้ได้ ห้ามพลาดจริง ๆ