BY Aisoon Srikum
Less than a minute ago

รีวิว Warhammer 40,000: Space Marine 2

2 Views

Demetrian Titus กลับมาอีกครั้ง หลังปล่อยให้แฟนเกมรอคอยภาคต่อกันมาอย่างยาวนานกว่า 13 ปี และการกลับมาในครั้งนี้จะคุ้มค่าหรือไม่ ขอเชิญพบกับ Warhammer 40,000: Space Marine 2 Article Review

Story

เป็นเวลากว่าร้อยปีจากเหตุการณ์ของตัวเกมภาคแรก Demetrian Titus กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ภาคแรกเขาโดนจับตัวไปและต้องไปประจำการที่ Deathwatch แต่ในขณะปฏิบัติภารกิจหนึ่งที่ดาวคาดาคู Titus ถูกพวก Tyranids โจมตีจนบาดเจ็บสาหัส เขาได้รับความช่วยเหลือและได้รับการผ่าตัดรูบิคอนจนกลายเป็นไพรมาริสและกลับเข้าร่วมกับกลุ่ม Ultramarine อีกครั้ง พร้อมออกปฏิบัติภารกิจต่อ โดยภารกิจใหญ่ในเกมภาคนี้ก็คือ การต่อกรกับฝูงแมลง Tyranids ที่จู่โจมแทบจะทั่วทุกมุมจักรวาล

ก่อนอื่นผมต้องขออภัยแฟน ๆ Warhammer ทุกท่านก่อนเลยที่อาจตกหล่นหรือเข้าใจประเด็นข้อมูลเนื้อหาบางส่วนได้ไม่ครบถ้วน แฟรนไชส์ Warhammer ถือเป็นแฟรนไชส์ที่เนื้อหาเยอะมาก ๆ แถมมีหลายภาค หลายไตเติลด้วย อย่าง Space Marine นี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ระหว่างเล่น เราจะเจอตัวละครเยอะมาก อาจจะทั้งเก่า ทั้งใหม่ หรืออาจจะข้ามมาจากไตเติลอื่นบ้างไหม อันนี้เราก็ไม่ทราบได้ แต่ในฐานะคนที่เพิ่งเหยียบเท้าเข้ามาทำความรู้จักเกมนี้เป็นครั้งแรก ก็ได้แต่รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ และน่าสนใจเอามาก ๆ และพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงมัดใจแฟน ๆ ได้มากมายขนาดนี้

แต่ถึงอย่างนั้น Space Marine 2 ก็ไม่ได้นำเสนอเนื้อหาที่ลึกล้ำซับซ้อนอะไรสำหรับหน้าใหม่ เพราะทางทีมผู้พัฒนาเองก็บอกไว้ว่า คุณไม่จำเป็นจะต้องทำการบ้านอะไรมาก่อน จะเล่นเลยก็ได้ ไม่ต้องเล่นภาคแรกก็ได้ หาอ่านสรุปเนื้อเรื่องเอา และจากที่ผมได้เล่นมา มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ คือถ้าคุณจะขุดลึกไปจนถึงคำศัพท์ กลุ่ม สังกัดต่าง ๆ บอกเลยว่ายาวแน่ แต่ถ้าคุณมาเล่นโดยรู้ว่าตัวเอกคือใคร จะไปทำอะไร ที่ไหน และมีเป้าหมายหลักคืออะไร มีกลุ่มและสังกัดใดบ้างที่มีบทบาท เท่านี้คุณก็จะแฮปปี้ไปกับเนื้อหาของเกมได้แล้ว แค่อาจจะอินไม่เท่าคนอื่น ๆ ที่เขาเป็นแฟน Warhammer อย่างผมกับพี่กันนี่ ฉากสุดท้ายของเกมที่เท่มาก มีตัวละครปรากฏตัวออกมามากมาย ถ้าเป็นแฟนเกมก็คง โอโห คนนั้น คนนี้มา แต่ผมกับพี่กันก็จะแบบ โห เท่อะ แต่ ใครวะ.. อะไรแบบนี้แทน ซึ่งมันก็ไม่ได้ส่งผลเสียอะไรมากเท่ากับที่เราไม่อินแค่นั้น

นอกจากนั้นตามฉากเกมการเล่นต่าง ๆ เราจะไปเจอพวกกระดานเสียงที่เป็นข้อมูลเสริมต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวและสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมภาคนี้ด้วย ซึ่งเมื่อเก็บแล้ว มันจะกลับไปอยู่ที่ยานรบหลักเรา สามารถไปฟังหรืออ่านซ้ำได้เลย เพิ่มความอิน ความเข้าใจ หรือ..อาจจะเป็นการเพิ่มความงงให้กับผู้เล่นบางคนก็ได้อีก แต่อันนี้สำหรับผมเป็นการส่วนตัวเลย การที่ผมไม่เคยเล่น Warhammer มาก่อนเลย ไม่เคยเล่น Space Marine ภาคแรกมาด้วย แต่ช่วงกลางเกม มันทำให้ผมฮึกเหิม ตื่นเต้น อิมแพค และอยากติดตามเนื้อเรื่องต่อ แม้จะยังไม่เข้าใจจักรวาลนี้ ผมคิดว่ามือเขียนบทเกมภาคนี้ ทำหน้าที่ได้สำเร็จลุล่วงแล้ว

มีอย่างนึงที่ขอเป็นเชิงแชร์ให้ฟังแล้วกัน ไม่ได้ติหรือหักคะแนน แต่เกมนี้บ่อยครั้งมาก ๆ เลย ที่เนื้อเรื่องหรือเวลาตัวละครพูดหรือสนทนากัน มันจะชอบมาในช่วงจังหวะที่เราต้องรับมือกับฝูงศัตรูจำนวนมาก บอกตรง ๆ เลย ผมเหลือบตาลงไปอ่านไม่ทัน ทำให้รู้สึกว่าพลาดอะไรสำคัญ ๆ ไปเยอะมาก ถ้ามันเป็นการคุยกันแบบตะโกนสั่งการอันนี้เข้าใจได้ แต่พวกเนื้อหาสำคัญ บางทีผมต้องยอมหยุดเดิน อยู่นิ่ง ๆ เพื่ออ่านก่อน ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือตัวละครเรากำลังจะไปทำอะไร เพราะบางทีมันคุยกันไม่จบ เดินไปถึงจุดต่อไป ต้องถล่มอาวุธสู้ต่อแล้ว อย่างที่บอกว่าไม่ได้ติหรือหัก แค่แชร์ให้ฟัง แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เวลาตัวละครมันคุยกัน ให้เรามีโฟกัสกับการอ่านเนื้อเรื่องได้จะดีกว่า

นี่คือการสานต่อเรื่องราวภาคต่อที่คนรอคอยกว่า 13 ปี บางคนอาจจะรู้สึกว่ามันเฉย ๆ หรือบางคนอาจจะคิดแค่ว่า แค่ได้เห็นหน้าไททัสอีกครั้งก็คงดีใจแล้ว หรือแฟนเดนตายอาจซาบซึ้งกันแบบสุด ๆ  แต่สำหรับผม ถ้าตัดเรื่องที่มันมีความลึกล้ำของแฟรนไชส์ Warhammer ออกไป เอาแค่เกมภาคนี้ เนื้อเรื่องมันค่อนข้างย่อยง่ายมาก มันนำเสนอแบบหนังแอ็คชันตรงดิ่งเลย ย้ำว่าอันนี้เอาแค่เกมภาคนี้นะครับ ดังนั้นสำหรับบางคนที่ไม่ได้ตามแฟรนไชส์นี้มา อาจจะรู้สึกว่ามันธรรมดา แต่สำหรับแฟน ๆ Warhammer ผมว่าคงอิ่มอกอิ่มใจกันไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับภาคนี้

Presentation

ในบรรดาเกม Co-op Shooter หลากหลายเกมที่ออกมา เรื่องของบรรยากาศ เป็นเรื่องที่หลายค่ายให้ความสนใจและนำเสนอได้ดีเสมอ แน่นอนว่า Space Marine 2 ก็ไม่ยอมน้อยหน้า เอาแค่ฉากแรก ภารกิจเปิดเกม เราก็ตะลึงกับฉากสวย ๆ แล้วก็จะยิ่งตื่นตะลึงมากขึ้น เมื่อภารกิจที่เราต้องไปทำ มันเล่นใหญ่ ไล่สเกลขึ้นไปเรื่อย ๆ การเจอฝูง Tyranids ที่ไม่เคยจะออกมาทีละนิดเนี่ย ทำให้บรรยากาศเหมือนกับอยู่ในสงครามตลอด แสดงให้เห็นเลยว่า คำโปรยที่เขาขึ้นไว้ช่วงแรกเนี่ย มันของจริง ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน เราก็จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสงครามเสมอ ซากปรักหักพัง ฝูงศัตรู ซากศพของสหายร่วมรบ เรื่องของบรรยากาศ เกมนี้ทำได้สุดยอดมาก ๆ ทุกฉาก ทุกด่านที่เราเหยียบเข้าไป มันมีความอลังการชนิดที่มองแค่แว่บแรกก็ตื่นตาตื่นใจแล้ว

และต้องขอบคุณความดีงามของ Swarm Engine นี่คือ Engine ที่ทีม Saber ใช้กันมาตั้งแต่ World War Z แล้ว นี่คือสุดยอดเอนจิ้นที่ทำให้เราได้เห็นฝูงศัตรูมากมายก่ายกองโผล่มาบนหน้าจอพร้อม ๆ กัน และมันทำได้ดีตั้งแต่ World War Z แล้วด้วย พอเอามาใช้ใน Space Marine 2 ที่แต่เดิมโลกและจักรวาลอันยิ่งใหญ่ของมันก็ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว มันเลยเป็นเหมือนคอมโบประสานที่ผลักดันให้ทุกอย่างยอดเยี่ยมขึ้นไปอีกขั้น อาจจะเพราะจำนวนด่านที่ตอนนี้มันยังน้อยกว่า World War Z ทำให้หลาย ๆ ครั้ง ผมรู้สึกว่าฝูงศัตรูที่มาแบบมืดฟ้ามัวดิน ตรงนี้ World War Z ยังทำได้ดีกว่า แต่ก็ไม่แน่ ถ้าอนาคตเขามีโหมด Horde หรือฉากใหม่ ๆ เราอาจจะได้เห็นฝูง Tyranids จำนวนมากกว่านี้ ปรากฏตัวในคราวเดียวก็ได้

อีกเรื่องที่ไม่ชมไม่ได้ คือเรื่องของความดิบเถื่อนเลือดสาดและความรุนแรงที่ผมว่าน่าจะถูกใจแฟน ๆ หลายคนเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นฉากคัทซีน เนื้อหาต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งจากตัวเกมเพลย์เองก็ตาม อันนี้ผมน่าจะพูดได้ ไม่น่าสปอยล์อะไรมาก แต่มีบางฉากที่ศัตรูเราเป็นพวกมนุษย์ตัวเล็ก ๆ อันนี้คือยิงนัดเดียว ตัวแตกกระจายเป็นก้อนเลือด สะใจมาก แถมบางปืนนี่ ยิงแล้วหัวกระสุนกระเด้งกระดอนออกมาให้เห็น ใครชอบรายละเอียดเล็กน้อยอะไรแบบนี้ คุณจะเต็มอิ่มมาก ๆ

ต่อมาคือเรื่องของภาษาไทย เป็นยุคทองของแฟนเกมชาวไทยจริง ๆ ที่เรามีเกมภาษาไทยออกมาให้เล่นกันเยอะขึ้นแล้ว และสำหรับแฟรนไชส์ Warhammer นี่ก็ถือเป้นเกมแรกที่เรามีซับไทยจาก Official ให้เราได้เล่นกันแล้ว เรื่องคุณภาพการแปลก็ต้องบอกเลยว่าหายห่วง ใครไม่เคยเล่นก็จะรู้เรื่องและเข้าใจเหตุการณ์ในเกมแน่นอน โดยการใช้ศัพท์ในเกมนี้ สหายข้า พี่น้องข้า อะไรประมาณนี้ เข้ากับบรรยากาศและสถานการณ์ในเกมแบบสุด ๆ แต่ปัญหาของมันก็คือเรื่องของการจัดวางตัวหนังสือ ซึ่งมันน่าจะไม่ได้เกี่ยวกับการแปล แต่จะมีตัวหนังสือ 1 ตัว ตกลงมาบรรทัดสองเสมอ และแทบจะตลอดทั้งเกม อันนี้ก็หวังว่าจะแพทช์แก้กันได้ในอนาคต และอีกข้อ ส่วนตัวอันนี้ผมไม่มีปัญหา ก็คือการแปลคำแบบใช้ภาษาไทยทั้งหมดไปเลย แทบไม่มีภาษาอังกฤษเจือปน ชื่อทั้งหลายก็ถูกเขียนให้เป็นภาษาไทยทั้งชื่อสถานที่ ตัวละคร ผู้คน อาวุธ หรืออะไรก็ตามของโลกในเกม ซึ่งอันนี้ผมเข้าใจได้ว่าบางคนอาจจะไม่ชิน เรื่องนี้เป็นเรื่องของความคล่อง ความถนัดในการอ่านหรือจดจำ ผมขอไม่ตัดสินว่าแบบไหนดีกว่ากัน แต่ถือว่าพูดไว้เผื่อใครไปเจอในเกมจริง

มาดูคอนเทนต์ในเกมกันบ้าง ในตอนนี้โหมด PvE แคมเปญเนื้อเรื่องของเกมนั้น ถ้านั่งไถแบบต่อเนื่อง ไม่เกิน 7-8 ชั่วโมงคุณก็น่าจะจบเกมได้ โหมดเกมอื่น ๆ ก็จะมีอีกสองโหมด คือโหมดปฏิบัติการหรือ Co-op ที่มีฉากทั้งหมด 6 ฉาก ถ้าคุณไม่ใช่แฟนเดนตายของ Warhammer หรือมีเพื่อนที่พร้อมจะไปเผชิญหน้าความยากในระดับสูง ๆ คุณเล่นจบแค่ระดับง่ายหรือปกติก็อาจจะเบื่อแล้ว และเห็นว่าระดับความยากสูง ๆ นี่ นรกแตกมาก ถึงขั้นที่ ตอนนี้ที่ผมกำลังเขียนรีวิวเนี่ย ทีม Saber เขาบอกแล้วว่าจะออกมาปรับความยากของโหมด Veteran ขึ้นไป คอนเทนต์ Campaign + PvE คุณจะใช้เวลาเล่นรวม ๆ กันน่าจะ 15-20 ชั่วโมง ต่อมาอีกโหมดก็คือโหมด PvP อันนี้เหมือนโหมดเล่นเอามันส์เลย นี่เป็นอีกเกมที่ PvP ไม่ได้หวือหวา แต่มันสนุกมาก ๆ ทั้งหมดนี้รวมกัน อย่าลืมว่านี่คือเกมราคา 1490 บาทนะครับ ตกที่ 45 เหรียญอะ ถ้ามองที่คอนเทนต์กับราคา ถือว่าคุ้มค่าเต็มเม็ดเต็มหน่วย สมราคา และในอนาคต สำหรับคนซื้อตัวแพงเนี่ย เขาจะมีอัปเดตตามมาอีกแน่ โดยยังไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร แต่มีคอนเทนต์ใหม่มาเพิ่มอีกแน่นอน โดยรวมแล้วคือยังไงก็คุ้ม แต่จะสนุกหรืออินหรือไม่ นั่นอยู่ที่ว่าคุณเป็นแฟน Warhammer หรือเปล่าด้วย ทีนี้เราไปดูเกมเพลย์กันต่อ

Gameplay

World War Z ฉบับอัปเกรด ในชุดของเหล่า Space Marine อันนี้คือคำนิยามสั้น ๆ ของผม เพราะถ้าใครเคยเล่น World War Z มาก่อน คณจะเข้าใจรูปแบบเกมการเล่นของมันทันที แต่สิ่งที่ต้องปรับตัวคือเรื่องของการควบคุมและการออกแอ็คชันต่าง ๆ 

ในเกมนี้การเล็งยิงจะไม่ได้มีการซูมหรือเข้าสโคป แต่จะเป็นการซูมเข้าไปที่หน้าจอ และทำให้กระสุนเกาะกลุ่มได้ดีขึ้น แม่นยำขึ้น แต่การเล็งยิงเกมนี้จะต้องใช้ลูกกลิ้งเมาส์กลาง เพราะคลิกขวาจะเป็นการโจมตีประชิด ทำให้คนที่เพิ่งมาเล่นใหม่อาจจะต้องปรับตัวกันสักหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าไม่นาน คุณก็จะเอ็นจอยกับการสวามิภักดิ์แด่องค์จักรพรรดิ พร้อมกำราบเหล่าทีรานิดส์ให้ราบเป็นหน้ากล่องได้อย่างเชี่ยวชาญ

โหมดแคมเปญนั้นไม่ยาวมาก ถ้านั่งไถจริง ๆ ไม่เกิน 1-2 วันก็คงจบได้ หรือถ้าเอาเป็นชั่วโมงก็ไม่เกิน 10 ชั่วโมง และเกมเพลย์มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการเดินหน้าแหลกแจกกระสุน ที่ผมบอกว่ามันเหมือน World War Z ถ้าเทียบเปอร์เซนก็คงต้องบอกว่าเกินครึ่ง อย่างเรื่องอาวุธ จริงอยู่ว่าเราเลือกได้ก่อนเริ่มเล่นว่าอยากใช้ปืนอะไร แต่ระหว่างทางจะมีปืนประเภทอื่นให้ได้เก็บ สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันใช้งานตลอด อาวุธระยะประชิดกับอาวุธรองเองก็เช่นกัน บางฉาก บางด่านก็จะเป็นการใช้อาวุธพิเศษเฉพาะตรงฉากนั้นเลย เช่นปืนไฟเป็นต้น นอกนั้นโหมดแคมเปญถือว่ามีอะไรให้เราทำค่อนข้างน้อย เอาอย่างเงื่อนไขการผ่านด่าน มันมีอยู่แค่ไม่กี่แบบ วิ่งจากจุด A ไป B คอยคุ้มกัน Objective บางอย่างเอาไว้ ผมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยหลากหลาย แต่มันแลกมาด้วยเกมเพลย์ที่ขับเคี่ยวผู้เล่นกันแบบสุด ๆ

อย่างแรกเลยคือจำนวนกระสุน เกมนี้เราจะไม่ได้แบกกระสุนเยอะหลายร้อยนัดได้แบบเกมอื่น ๆ เต็มที่เลยทุกกระบอกเราก็มีแค่ 150-200 นัด ในขณะที่ศัตรูมาแบบถล่มทลายมาก แถมบางตัวเป็นพวก Elite ซึ่งบางตัวแทบจะไม่สามารถจัดการได้ในกระสุน 1 แม็กกาซีน แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีทางเลือกอื่น ในเกมนี้เรายังมีการโจมตีระยะประชิด และสิ่งที่เรียกว่าการ Parry หรือที่เกมแปลเป็นภาษาไทยว่าการปัดป้อง ซึ่งจริง ๆ ผมคิดว่ามันเหมือนการ Counter Attack มากกว่า และมันโคตรเท่ การจะใช้ Parry ได้นั้น ต้องมีศัตรูง้างโจมตีเราด้วยแสงสีฟ้า หากเป็นตัวเล็ก ๆ กระโดดมา เราจะหลบหลีกแล้วกระชากตัวมันมาจัดการ หรือถ้าเป็นพวกตัว Elite เราจะทำการปัดป้อง แล้วโจมตีสวนกลับไป หากศัตรูโดนตีจนตัวกะพริบสีแดง เราสามารถเข้าไป Finisher ด้วยท่าสุดโหด และรีเจ็นเกราะตัวเองได้ หรือถ้าเราใช้การโจมตีประชิดแบบวงกว้าง ศัตรูบางตัวจะเสียหลัก และเปิดโอกาสให้เราใช้อาวุธรองยิงซ้ำด้วย

คือแม้ว่ามันจะให้กระสุนเราน้อย และรูปแบบภารกิจไม่ได้หลากหลาย แต่เขาไปเพิ่มสีสันให้เกมเพลย์แทนด้วยลูกเล่นต่าง ๆ ที่ทำให้มันไม่ใช่แค่การเดินหน้ายิงแบบทั่วไป เพราะถ้าทำแบบนั้น นอกจากจะน่าเบื่อแล้ว มันยังไม่มีความต่างอะไรจากเกมอื่น ๆ แต่ใน Space Marine 2 คุณจะต้องใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อฝ่าฝูงศัตรูไปให้ได้ นี่ยังไม่ได้พูดถึงการกลิ้งหลบ และการใช้ระเบิดที่ในบางสถานการณ์ก็จำเป็นมาก ๆ ในการเคลียร์เวฟศัตรู เพราะระเบิดเองก็มีหลายประเภท ทั้งเจาะเกราะ สะเก็ด หรือพลังงาน เอาง่าย ๆ คือต่อให้คุณเล่นเกมนี้ด้วยความยากระดับปกติ คุณก็ไม่สามารถชิลล์ได้ ไม่งั้นอาจได้ไปรับใช้องค์จักรพรรดิในร่างวิญญาณแทน ซึ่งพอเล่นเข้ามาก ๆ มันทำให้เราลืมความธรรมดาของภารกิจไปได้เลย นับว่า Saber เขาแก้ปัญหาได้ถูกจุดดี ในเมื่อมันไม่หลากหลาย ก็ทำให้เกมเพลย์ที่มันธรรมดา เคี่ยวผู้เล่นจนตื่นเต้นตลอดเวลา

ในโหมด Co-op ที่ตอนนี้มีเพียง 6 ด่าน แต่ความพิเศษคือคราวนี้เราจะเลือกคลาสได้มากถึง 6 คลาส โดยแต่ละคลาสก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป เมื่อจบรอบก็จะเอาแต้มไปอัปเกรดสกิลให้ลคาสนั้นโดดเด่นยิ่งขึ้น และมีสกิลประจำคลาสของตัวเอง ที่ช่วยให้การเล่นระดับยากสะดวกสบายขึ้นอีก ระบบ Skill Tree นี่จะเหมือนกับ World War Z เลย ใครเคยเล่นมาจะเข้าใจได้ไม่ยาก แต่กว่าจะอัปให้เต็มได้ ต้องใช้เวลาสูงมาก และมีมากถึง 6 คลาส ใครที่จะเก็บให้ครบ ผมว่าต้องใช้เวลาขั้นต่ำก็หลัก 50-60 ชั่วโมงขึ้นไป

แต่ปัญหาของเกมเพลย์การเล่น ทั้ง Co-op ทั้ง Campaign เนื้อเรื่องเลยก็คือ มันใช้เวลาในการเล่นสูงมาก ๆ ต่อรอบ มันคือการลุยระยะยาวที่เลน่จบแล้วแทบจะปาดเหงื่อ หรืออยากจะกดออกเกมไปพักทำอย่างอื่น แคมเปญรอบนึงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 30 นาที หรือถ้าเป็น Co-op ในความยากสูง ๆ อาจจะนานกว่านั้นด้วย และระหว่าง 30-40 นาทีที่เราเล่นนี้ เกมมันเต็มไปด้วยความ Intense ที่สูงมาก ผู้เล่นแทบจะไม่มีเวลาละจากสายตาหน้าจอไปทำอย่างอื่น ดังนั้นใครที่รู้ตัวว่าชอบมีอะไรมาขัดจังหวะระหว่างเล่น ผมแนะนำให้เตรียมตัวให้ดี เข้าห้องน้ำ เตรียมน้ำดื่มอะไรไว้ใกล้ตัว ส่วนคนที่มีลูก มีครอบครัวนี่อาจจะต้องระวังจริง ๆ ความยาวของเกมนี้ในรอบนึงมันนานพอที่คุณจะโดนขัดจังหวะได้เลย แต่อย่างน้อย โหมดเนื้อเรื่องหลักมันสามารถกดหยุดเกมได้ ส่วน Co-op นี่ ถ้าไปเป็นทีมกับเพื่อนก็อาจจะรอกันได้แต่ถ้าไปกด Public Match อันนี้ขอเตือนว่า เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเล่นกันก็ดีครับ

คอนเทนต์อีกส่วนหนึ่งคือโหมด PvP อันนี้ก็ยังมีความคล้ายคลึงกับ World War Z เหมือนกัน ขอโทษที่ต้องหยิบมาพูดถึงบ่อย ๆ แต่มันมาในโมเดลเดียวกันเลย แต่สิ่งที่ผมรู้สึกว่า PvP ของ Space Marine 2 มันต่างกันออกไปคือ ผมรู้สึกว่ามันมีความเป็น PvP แบบลูกผู้ชายมาก ๆ ไม่ต้องมีเทคนิค มีกลยุทธ์อะไรมาก เจอหน้ากันคือกดสกิลที่ตัวเองมี แล้วซัดกันตรง ๆ เลย อาจจะมีบางตัวที่ต้องหาเหลี่ยมมุมในการเล่นอย่าง Sniper ที่ต้องหาจุดซุ่มยิงให้ดี นอกนั้นทุกสายจะมีความโดดเด่น และความสนุกของตัวเอง แม้จะไม่ได้มีอะไรให้ปลดล็อกมากในโหมด PvP มีแค่การปลดสกินหรือคอสเมติคแต่งสวยหล่อเท่านั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าจังหวะไหนเบื่อ ๆ เนี่ย โหมด PvP เกมนี้ มันสนุกพอตัวเลย แถมยังกินเวลาต่อรอบไม่เยอะ โหมดเกมก็มีอยู่สามโหมดหลัก ๆ โดยเป็นโหมดที่เราเห็นจากเกมยิงดัง ๆ มาเสมอ ไม่ว่าจะเป็น Team Deathmatch ยึดจุด อะไรพวกนี้ ใครเบื่อยิงบอท ยิงแมลง ลองหันมายิงคนมัน ๆ ดูได้

ฟังดูเหมือนกับว่า Space Marine 2 ไม่ได้มีอะไรสดใหม่ในแง่เกมเพลย์ แต่ความ Simple ของมันนี่แหละ ที่ทำให้เกมมันสนุก และเข้าถึงง่าย เราเข้า Space Marine 2 ไป ไม่ได้หวังอะไรอื่นนอกจากเดินหน้ายิงแบบเลือดสาด ส่วนแฟน ๆ ซีรีส์ Warhammer ก็ได้ของแถมเป็นเรื่องราวในโลกที่เต็มอิ่มที่ผมพูดไปในช่วง Story ทำให้มันเป็นอีกเกมที่สนุก และคุ้มค่าจริง ๆ ครับ

Performance

มาดูกันในด้านประสิทธิภาพกันบ้าง เหมือนเดิม ผมยังคงเล่นมันบนเครื่องสเปคเดิมกับหลาย ๆ เกม ทำให้มันแทบจะไม่มีปัญหาในการเล่นเลย เครื่องที่ว่าก็คือ i9-13900K การ์ดจอ RTX 4070 และ Ram 32GB เล่นบนความละเอียด 1080p และปรับสุดหมดทุกอย่าง สเปคขนาดนี้ ต่อให้ฝูงแมลงมาท่วมจอขนาดไหน เฟรมเรทก็ยังวิ่งอยู่ที่ 80-90 ได้ทั้งภาพสวย ได้ทั้งเฟรมเรทที่นิ่ง แต่ใครที่คอมพิวเตอร์อยู่ในสเปคที่ต่ำกว่านี้ หรือใช้ความละเอียดหน้าจอสูงกว่านี้ อาจจะต้องนั่งปรับแต่งรายละเอียดบางอย่างให้เหมาะสม โดยเกมนี้เขาก็ปล่อยให้ผู้เล่นได้ Setting และตั้งค่าเกมได้อย่างหลากหลาย ตามแต่ความต้องการของผู้เล่น และมันยิบย่อยมาก ๆ จนผู้เล่นสามารถตั้งค่าหลาย ๆ ส่วนให้เหมาะสมได้ อย่างส่วนกราฟิกนี่เลือกเอาได้เลย จะให้ตรงไหนละเอียด จะให้ตรงไหนมันดูหยาบ ๆ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรเครื่อง หรือพวกซับไตเติล ขนาดตัวอักษร และปุ่มควบคุม ได้หมดเลย

ถ้าจะมีข้อเสียเดียว ต้องบอกว่าเป็นข้อเสียที่เล็กน้อยมาก ๆ ในตอนนี้คือ เกมไม่มีการปรับ FoV หรือมุมกล้อง ตรงนี้ผมลืมอธิบายไปในเกมเพลย์ ผมรู้สึกว่าบางช่วงของการต่อสู้ มุมกล้องมันบีบหาเราจนแคบมาก ๆ มองไม่เห็นทัศนวิสัยโดยรวม ทำให้สู้กับศัตรูยากมาก เจอศัตรูเข้าหลังทีนี่ ลำบากสุด ๆ ซึ่งเกมมันปรับ FoV ไม่ได้เลย แต่เห็นจากข่าวล่าสุด เห็นว่าเขากำลังพิจารณากันอยู่ว่าจะเพิ่มให้มาปรับแก้ได้ไหม ก็ต้องรอดูกันต่อไป

กับอีกอันที่ผมว่ามีปัญหาและส่งผลจริง ๆ คือ ทุกครั้งเวลาที่เราสลับโหมดเกม ด้วยความที่มันต้องต่อเน็ตด้วย ผมจะรู้สึกว่าบางฉากมันโหลดนานมาก ๆ อาจจะเพราะต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ทุกครั้ง แต่บางที แค่จบภารกิจนึงแล้วกลับมาที่ยาน มันก็โหลดนานเอาเรื่องเหมือนกัน อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นที่อะไรกันแน่ มันไม่เสียหายมาก แต่ถ้าเขาปรับแก้ให้มันเร็วกว่านี้ได้ก็ดีเหมือนกัน นอกนั้นส่วนอื่น ๆ ของ Space Marine 2 ในส่วนของ Performance เนี่ย ผมว่าเข้าขั้นยอดเยี่ยมเลยล่ะ

Warhammer 40,000: Space Marine 2

8.5 / 10 คะแนน

8.5

ข้อดี

  • สร้างสรรค์เกมเพลย์ที่ดุเดือดและเข้มข้น แม้ตัวเกมจะเป็นเส้นตรงได้ดีมาก
  • ความโหด เลือดสาด สาสมแก่ใจคนที่ชื่นชอบแนวทางแบบนี้
  • คอนเทนต์ในปริมาณที่มากพอและคุ้มราคาแพคเกจเกม
  • ภาษาไทยแปลได้ถึงอารมณ์ Warhammer
  • Replayable Value สูงมากทั้งความยากและคลาสที่มีให้เล่นปลดของ

ข้อเสีย

  • ตัวเกมใช้เวลาเล่นต่อรอบค่อนข้างนานในโหมดแคมเปญและ PvE
  • การแสดงผลตัวหนังสือภาษาไทยที่มีปัญหาเล็กน้อย

Aisoon Srikum

Back to top