เริ่มต้นเปิดฤดูกาลใหม่กับสุดยอดเกมกีฬาลูกหนังขวัญใจทั่วโลกรวมถึงเกมเมอร์ชาวไทยด้วย กลับมาครั้งนี้ EA พร้อมที่จะโชว์ของใหม่เพื่อ Next Gen Console อย่าง PS5 และ Xbox Series X โดยเฉพาะ มาดูกันว่าฤดูกาลนี้มีอะไรบ้าง
Review FIFA 22
Platform: PS5
ใช้เวลาในการเล่น : 54 ชั่วโมง
Write By Momjod
ในที่สุดก็วางจำหน่ายเสียทีกับสุดยอดเกมฟุตบอลของมนุษยชาติ ครั้งนี้ทาง EA ชูโรงว่าเป็นการอัพเกรดครั้งใหญ่ของเกมตระกูลนี้ (สำหรับการเล่นบน Console ยุคใหม่โดยเฉพาะ) เปิดตัวแบบยิ่งใหญ่ขนาดนี้ FIFA 22 ที่ปรับปรุงพัฒนาระบบไปอีกขั้นจะเป็นยังไง มันเหนือล้ำกว่าตัวเกมใน Console ยุคเก่ายังไงบ้างไปดูกันเลย
Presentation
ฤดูกาลใหม่ FIFA 22 นำเสนอนวัตกรรมใหม่ในทุกโหมดของเกม จะช่วยยกระดับให้เกมดูสมจริง ดังนั้นทุกโหมด ทุกอย่างตั้งแต่ Career Mode, Volta, FUT และ Pro Clubs ได้รับการยกเครื่องใหม่หมด ของใหม่จะมีอะไรบ้าง
HYPERMOTION GAMEPLAY TECHNOLOGY
เริ่มต้นด้วย Next-gen HyperMotion technology ที่หยิบเอานักฟุตบอลมืออาชีพ 11 vs 11 มาเล่นแล้วโมชั่นแคปเจอร์จริงๆ ในสนามไปเลยเป็นครั้งแรก เป็นการจับการเคลื่อนไหวแบบเต็มทีมกับการเรียนรู้ของเครื่องขั้นสูงเพื่อสร้างแอนิเมชั่นใหม่
-4000 ท่าอนิเมชั่นใหม่ถูกใส่เข้ามา ทำให้นักเตะฟุตบอลดูมีชีวิตชีวามากขึ้น แม้จะไม่ได้ครองบอลก็ตาม
-อัลกอริธึมแมชชีนเลิร์นนิงใหม่ ซึ่งจะเรียนรู้จากมากกว่า 8.7 ล้านเฟรมของการจับภาพล่วงหน้าเพื่อความลื่นไหลและความสมจริงยิ่งขึ้น (ทำให้ผมนึกถึง Mapping Motion ของเกม The Last of US Part 2)
-ดังนั้นจะเห็นผลแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นตอนลูกตั้งเตะ, การยิง, สกิลเคลื่อนที่, ส่งบอล, การเคลื่อนไหวของผู้เล่น, ปฏิกิริยาของผู้เล่น, การเฉลิมฉลอง, การควบคุมบอล, ผู้เล่นสองคนโหม่ง, ล้ม, ลุก, เลี้ยงบอล และอื่นๆ อีกสารพัด
แต่ข้อจำกัดคือ เทคโนโลยีนี้ จะใช้ได้เฉพาะ Next Gen อย่าง PS5 และ Xbox Series S/X เท่านั้น นอกเหนือจากแพลตฟอร์มเหล่านี้ จะใช้เหมือนของภาค 21
Interface สถิติแบบใหม่ ทำให้เข้าใจง่ายกว่าเดิม และดูเข้ากันมาก (เพิ่ม xG เข้ามาด้วย)
จากที่ลองเล่นมา จะรู้สึกได้ว่า ท่าอนิเมชั่นสดใหม่มาอย่างที่ว่าจริงๆ อนิเมชั่นการเคลื่อนไหวของร่างกายนักเตะจะต่อเนื่องกว่าภาคก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีปัญหาที่ว่า จะส่งผลเกมเพลย์ค่อยข้างระดับนึงในช่วงแรก ในการออกคำสั่งท่าทีนึงก็จะมีdelayอยู่เพียงนิดนึง อีกทั้งยังมีบัคท่าแปลกๆ อยุ่บ้าง และลีลาท่าทางเลี้ยงของบอท A.I. ที่เรายากจะคาดเดาได้อีก ถ้าเทียบกับ PS4 ซึ่งเราจะคาดเดาได้ง่ายกว่า
VOLTA
สตรีทฟุตบอลสำหรับสาย Casual ปีนี้ผู้เล่น Volta ยังสามารถสัมผัสประสบการณ์ใหม่ในการเล่นเช่นเคย ถึง 3 อย่างใหม่ๆ ด้วยกัน
-Skill Meter : หลังจากภาคที่แล้วการเล่นท่าเลี้ยงไม่ค่อยส่งผลเท่าไร ทำให้บางครั้งการเล่นแบบสวยงามก้ไม่จำเป็นเสมอไป ทำให้ทีมงานกลับไปนั่งคิดว่า จะทำยังไงอยากให้ผู้เล่นใส่ใจความเป็นสตรีทบอลมากขึ้น
เลยใส่ หลอด SKILL เข้ามา ใครที่เล่นท่าสตรีทบอลผ่านหรือชอตสวยๆ จะช่วยคูณคะแนนในการตอนทำประตูเพิ่มได้อีกด้วย ผู้เล่นสามารถเล่นท่าเลี้ยงผ่านคู่ต่อสู้แล้วยิงไป จะสามารถทำได้ถึง 2-4 แต้มประตู ในการยิงครั้งเดวเลยก็ว่าได้ ดังนั้นสายเล่นสกิลมูฟจะชอบแน่นอน
-Signature Abilities: ไหนก็ Arcade แล้วก็ใส่พลังพิเศษให้เกมสนุกขึ้นไปอีกกับ การมาของพลังพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น ยิงแรง วิ่งเร็ว สกัดบอลแบบรุนแรง ผู้เล่นจะสามารถเลือกใช้ได้อย่างละ หนึ่ง สามารถใช้ในการตัดสินเกมได้เลย จะเรียกว่าเป็น ท่าไม้ตาย ของโหมดนี้เลยก็ว่าได้ โดยกดแค่ R1 / RB เท่านั้นในการใช้
-Volta Arcade : โหมดการเล่นแบบใหม่ของ Volta ซึ่งจะเปิดให้เล่นเฉพาะสุดสัปดาห์เท่านั้น ซึ่งโหมดนี้จะเป็นโหมดการเล่นแบบปาตี้ สไตล์ฟุตบอลเข้ามาใส่ เช่น เกมเทนนิส ดอร์จบอล เกมเต้น และอีกมากมายทั้ง 8 ด่าน จะใช่ฟุตบอลมาเกี่ยวข้องทั้งหมด
และยังมีการปรับปรุงด้านโหมดอื่นๆ เช่น VOLTA SQUADS ที่จะเน้นให้ผู้เล่นใส่ใจเฉพาะตัวละคร Avatar ที่เราสร้างขึ้นเท่านั้นพอ เพื่อจะได้ไปแจมกับผู้เล่นคนอื่นๆ เป็น 4 vs 4 เดวจะไปพูดในเรื่องเกมเพลย์แล้วกัน
ในภาคนี้จะเน้นให้คุณค่ากับตัวละครที่เราสร้างเท่านั้น ไม่มีแล้วพวก Recuit นักเตะในตำนาน
จากที่ลองสัมผัสมา Skill Meter ใช่ว่า จะกดเลี้ยงผ่านคู่ต่อสู้ผ่าน ทีนึง โบนัสจะคูณ 1 2 3 ไปเลยนะ ค่อนข้างต้องสะสมระดับนึงเลยกว่าจะขึ้น *2 ดังนั้น *4 เป็นไปได้ยากมากๆ เพราะหลังจากโดนทำประตูไป ทุกอย่างก็จะรีเซตใหม่หมด ทำให้ การเล่นท่าเพื่อเพิ่มแต้มก็ยังเป็นอะไรที่ลำบากกว่า เล่นแบบติกิตาก้า นั้นจะง่ายกว่า แถมถ้าส่งดีๆ โบนัสคูณเร็วกว่าด้วย ในขณะที่พลัง Signature Abilities นั่นจะใช้ได้สนุกสนาน ถือเป็นไพ่ตายในการพลิกเกมได้ดี ถ้าใช้ถูกสถานการณ์ เพราะค่อนข้างมีเวลาจำกัดที่สั้น ส่วนโหมด Volta Arcade ทางเราไม่ได้ทดสอบ เพราะตอนนี้ทาง EA ยังไม่เปิดโหมดให้เล่น ตอนที่เราได้ทดสอบมา
แต่คอนเซปต์โดยรวมภาคนี้ เกมเพลย์ดีขึ้น ลูกเล่นท่าเยอะกว่าเดิม แต่เนื้อหาโหมดกลับดูไม่น่าสนใจเท่าที่ควร ซึ่งเราน่าจะเข้าใจที่ EA อยากให้โหมดนี้ไปทาง Arcade มากกว่า จริงจังเหมือน FUT หรือโหมดอื่นๆ ทำให้ความน่าเล่นต่อเนื่อง มันน้อยจริงๆ ภาคนี้
CAREER MODE
สำหรับโหมดแบบสาย Single Player ชอบเล่นเป็นเรื่องราวฟุตบอลตามฉบับของตัวเอง ในภาคนี้ ในภาคนี้เน้นความอิสระในการสร้างเนื้อหาของตัวเองเข้ามาอีก มีอะไรบ้าง
สร้างทีมเป็นของตัวเองได้แล้วว : ภาคนี้เราสามารถสร้างทีม สโมสรเองได้แล้ว ออกแบบตั้งแต่ ชื่อทีม เสื้อทีม โลโก้ทีม ไปยันสนามของตัวเองกันเลยทีเดียว เอาใจสาย simulation เข้าไปอีก
แต่งได้ทั้งสนามยันชุดเสื้อแข่งเลยทีเดียว
กำหนดทีมตัวเองได้ว่า อยากเป็นทีมเล็กหรือทีมใหญ่ได้เลย
จากสำรองสู่การเป็นตัวจริง : ระบบใหม่ที่ช่วยให้ผู้เล่นชุดสำรองรีบได้ลงเล่นไวๆ ในแมทช์นั้นๆ มุ่งสู่การเป็น 11 ตัวจริงโดยทำเป้าหมายในการแข่งขันให้สำเร็จเพื่อรับ ความไว้วางใจของผู้จัดการทีม หรือ Manager Rating ในเกม
พลังเติบโตของนักเตะ สำหรับสายสร้างผู้เล่นใหม่ขึ้นมาจะมีการอัพพลังหรือสกิลใหม่เข้ามา คุณสามารถได้ XP จากการเทรนนิ่งหรือลงแข่งเกมได้ทั้งคู่ อีกทั้งยังมี Skill tree และ Perks เข้ามาเป็นสีสันในการเล่นมากขึ้น
ความสนุกของโหมด Manger Career น่าจะเป็นในส่วน Create-A-Club นี่แหละมันคือความน่าสนุกของการเล่น Career โหมดแล้ว นี่เป็นโอกาสที่จะก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซนและทำสิ่งที่แตกต่างออกไปเสียที ด้วยการสร้างสโมสรใหม่ในวิสัยทัศน์ของเราเอง และรับช่วงต่อในฐานะผู้จัดการ อัปเกรดสนามกีฬา ความคาดหวังของบอร์ดที่กำหนดเองได้ แต่อย่างไรก็ตาม จริงๆ แล้ว ลูกเล่นปรับแต่งสนามนี้ มันดัดแปลงมาจาก FUT ภาคก่อนๆ แหละ หลังจากลองไป 4-5 ชั่วโมง จะรู้ว่าฉากคัตซีนนั้นราบรื่นและรวดเร็วกว่ามาก ปรับแต่งแฟนๆ ร้องเพลงเชียร์ มันให้ความรู้สึก นี่คือทีมที่เราสร้างขึ้นมาจริงๆ เลยแฮะ
ในขณะที่ Player Career ได้เห็นฉากคัตซีนที่เยอะขึ้นกว่าภาคไหนๆ มันมีฟีลเหมือนเรากำลังสร้างหนังอัตชีวประวัติของเราเอง Manager rating เป็นองค์ประกอบใหม่ที่ถูกใส่เข้ามามีบทบาทอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าการเล่นของคุณน่าประทับใจหรือน่าผิดหวังจากมุมมองของเจ้านาย สำหรับโหมดที่ค่อนข้างไม่มีใครมาแตะต้องในช่วงเวลาที่ผ่านมา ดูเหมือนภาคนี้จะเป็นไปในเชิงบวกแล้ว
จุดที่ไม่ค่อยชอบเลยคือ ฉากคัตซีน มันดูธรรมดาไปทั้งฉากต้อนรับ ในสนาม นอกสนาม มันดูธรรมดาไป ถ้าเทียบกับโหมดเนื้อเรื่องในภาคก่อนๆ ไหนๆ ไม่ทำเนื้อเรื่องแล้ว น่าจะเอามาใส่ในโหมดนี้ซะเลย เพราะถึงเยอะกว่าภาคไหนก็จริง ก็ยังน้อยไปอยู่ดี อีกทั้งลูกเล่นที่เพิ่มเข้ามาทั้งหมดนี้ ไม่ได้ส่งผลต่อเกมเพลย์ของโหมดนี้เท่าไรเลย ยังเล่นเหมือนเดิมทุกประการดั่งภาคที่แล้ว
PRO CLUBS
สำหรับโหมด CO-OP ผู้เล่น 11 vs 11 คนนั้นทางทีมงานก็สร้างลูกเล่นใหม่ๆ เข้ามา และแก้จุดอ่อนของโหมดที่ผู้เล่นพูดถึงกัน มีอะไรบ้าง
เพศหญิงก็เล่นด้วยกันได้นะ
เป็นครั้งแรกของภาคนี้ที่สามารถนำเพศชายและเพศหญิงเข้ามาเล่นด้วยกันได้แล้ว ซึ่งเพศไหนก็ไม่ส่งผลต่อเกมเพลย์ด้วย แถมภาคนี้เราสามารถปรับแต่งเสื้อทีม โลโก้ทีม สนามทีม รวมถึงเพลงในสนามด้วย
ระบบ Perk แบบใหม่ : ระบบ Perk ที่จะให้ผู้เล่นเลือกได้ 3 อย่างก่อนเข้าไปแข่ง จะช่วยสร้างมิติในการเล่นมากขึ้น ทั้งนี้มีทั้งหมด 26 Perks การจะได้มานั้นก้ต้องเกบเลเวลของตัวละครก่อน ถึงจะปลดล๊อคให้ใช้ได้
Drop-in ที่ทำออกมาได้สะดวกขึ้น : Drop-in ตอนนี้สามารถจับคู่กับเพื่อนและผู้เล่นอื่นง่ายกว่าที่เคย แม้จะไม่อยู่ในทีมเดียวกันก็ตาม เล่นด้วยกันได้
สำหรับ Proclubs ก็เป็นอีกโหมดนึงที่ใส่เรื่องเนื้อหาการปรับแต่งมากขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่ส่งผลต่อเกมเพลย์จริงๆ เลยคือ ระบบ Perk System นี่แหละเราสามารถโอนจาก ตัวละครที่สร้างจาก Player Career ได้ด้วย ทำให้ Player progression ของเกมน่าติดตามมากขึ้น
FIFA ULTIMATE TEAM เปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่ยังเล่นเหมือนเดิม
-Division Rivals ทุกคน เริ่มที่ DIV10 กันหมด
โหมดเจอผู้เล่นคนอื่นถูกยกปรับใหม่หมด ถูกปรับให้เป็นมิตรต่อผู้เล่นมากขึ้น ทุกคนจะเริ่มต้นกันที่ Division 10 โดยในแต่ล่ะ Divsion จะแยกแร้งค์ย่อยไปอีก เมื่อเราผ่านแร้งค์ย่อยไปเรื่อยๆ เราจะได้เลื่อน Division ของรางวัลในแต่ล่ะ Division จะไม่เหมือนกัน
โดยแรงค์ย่อยมีตัวเลขกำหนดว่า จะไปถึงจุดนี้ ต้องชนะกี่ครั้ง
ชนะ 1 นัด จะได้ + เสมอ ไม่ได้อะไร แพ้ จะ -1
โดยจะมีจุด CheckPoint ที่ช่วยให้ต่อให้แพ้บ่อยๆ มันก็ไม่ลงต่ำกว่านี้แล้วด้วย
และจะรี Division ใหม่เมื่อจบ SEASON
Weekly Rewards ของ Rivals ยังมีเหมือนเดิม แต่จะต้องทำตามเงื่อนไขในแต่ล่ะวีค โดยจะแจกรางวัล วันพฤหัสบ่าย 3 อีกทั้งถ้าทำตามเงื่อนไขเพิ่มเติม จะได้ upgrade reward ของ weekly rewards นั้นๆ ด้วย
ส่วน Milestone ถูกนำเพิ่มใน Rival สำหรับสายคนที่เล่นไม่เก่งแต่ขยัน แจกรางวัลตามนัดที่เล่น ยิ่งไป DIV สูงของรางวัลก็ดีตามไปด้วย ก็จะให้รางวัลเมื่อจบ Season นั้นไป
FUT CHAMP ที่เปลี่ยนไป
โหมดที่ทุกเสาอาทิตย์ ทุกคนจะต้องรีบเข้ามาเล่น ถูกปรับใหม่เช่นเดียวกัน โดยแยกเป็น Play-Offs กับ Finals แล้ว
โดย Play-Offs นั้นจะได้เข้าเล่นจากการใช้แต้ม Champions Qualification Points (ได้จากการเล่น Rivalsก่อน) FUT Season มีระยะเวลาประมาณ 6 สัปดาห์ ผู้เล่นสามารถแข่งเกมจำนวนจำกัดได้ตามเวลาที่กำหนด โดยได้รับคะแนน สำหรับอันดับแชมเปี้ยนและรางวัล สิ่งเหล่านี้จะมอบให้เมื่อสิ้นสุดใน Champions Play-Offs
ส่วนรอบ ชิงชนะเลิศหรือ Final จะมีขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับวันหยุดสุดสัปดาห์แบบเก่า และมี
ระบบการเข้าแบบจำกัดที่ให้คุณมีความยืดหยุ่นเวลาและวิธีการแข่งขันใน FUT Champions รวมถึงรางวัลที่เร็วขึ้น จากการเล่นภายในเสาอาทิตย์ เท่านั้น
ปรับแต่งสนามใหม่ก็ยังมาเพิ่ม
: ภาคนี้ปรับแต่งมากขึ้นกว่าเดิม โดยเพิ่ม VIP areas เข้ามาด้วย (แต่ก้ต้องทำเงื่อนไขให้ผ่านก่อน)
Co-op Public Matchmaking
: โหมดใหม่ใน FUT Friendlies เรียกว่า Co-op Public Matchmaking ที่จะทำให้ผู้เล่นได้ Drop- in ไปเล่นกับคนอื่น Coop แบบไม่ต้องใช้ทีมตัวเองเลย ถือว่าเป็นการลองใช้ตัวผู้เล่นทดลองได้
ยังมีรายละเอียดอื่นๆ เล็กๆ น้อยๆ แต่ทำให้ผู้เล่นสะดวกในการเล่นมากขึ้น
สำหรับหน้าจอ Main Menu ก็ถูกปรับแต่งหลังจากได้รับฟีดแบคจากภาค 21 อย่าง Squad Building Challenges ให้สามารถเข้าหน้า Home ได้เลย แล้วใกล้ๆ กับ Transfer Market เพราะรู้กันอยู่ว่า ทุกคนเข้าใช้โหมดนี้กันบ่อย
FUT Heroe การ์ดใหม่ที่ต้องมี!!!
สุดท้ายก็คือการ์ดใหม่ เป็นการ์ดของนักเตะที่ได้รับการจดจำ กลับมาเล่นใน FIFA 22 ซึ่งจะเป็นโม้เม้นที่น่าจดจำของสโมสรนั้นๆ ยกตัวอย่่างเช่น Mario Gomez มีฤดูกาลที่น่าจดจำกับลีคบุนเดสลีก้า ซึ่งการ์ดพวกนี้จะลิ้งกับลีคเท่านั้น ซึ่งจะมีตัวแทนของหลากหลายลีค ให้เราหยิบใช้กัน
ไม่ถึงเป็นการ์ด ICON จะลิ้งกับลีคเท่านั้น
สรุปโหมดต่างๆ ว่าจะตัดรอบกี่โมง
Squad Battles
– ตัดรอบทุกวันอาทิตย์เวลา 15:00 น.
Rivals
– ตัดรอบ ทุกวันพฤหัส 15:00 น.
– แจกรางวัล milestones ทุก 6 weeks หรือ 1 Seasons และรีสตาร์ท Division ใหม่
FUT Champions
– ตัดรอบวันจันทร์ 15:00 น.
สำหรับ FUT นั้น โดยรวมเปลี่ยนแปลงไปบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรเท่าไร ทุกอย่างๆ ยังคงเล่นเหมือนเดิม แต่จะช่วยให้คนเก่ง แต่เล่นน้อยลงได้ผลรางวัลตอบแทนได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ในขณะที่คนที่เล่นไม่เก่งแต่ขยัน ก็ยังสามารถได้จาก milestone ได้อยู่ทำให้เล่นเยอะก็ยังได้ของอยู่ เป็นรางวัลปลอบใจ แต่สุดท้าย แพคกาชา ก็ยังเกลือ และหลอกตังเราอยู่เป็นประจำ
เกมเพลย์ที่สมจริงกว่าภาคไหน ๆ
นี่คงจะเป็นส่วนสำคัญที่สุดของเกม FIFA เลยก็ว่าได้ มาพูดเกมการเล่นโดยรวมกัน ก่อนจะพูดถึงเกมเพลย์ ขอพูดถึง Controller setting ก่อน ภาคนี้ EA ได้เพิ่ม Option ใหม่คือ Competitive Master Switch จะบังคับเปิดก็ต่อเมื่อเราเล่นออนไลน์กับคนเท่านั้น
ผลก็คือ ระบบช่วยต่างๆ จะถูกปิดลง ไม่ว่าจะเป็น เลี้ยงบอลติดเท้า ออโต้ช่วยเคลียร์บอล เล่นท่าตอนส่ง ช่วยยิงในบางจังหวะ ระบบช่วยโหม่ง แล้วก็วิ่งจ๊อกกี้ จะเปลี่ยนเป็น Manual แทน ดังนั้นเป็นภาคที่เราจะต้องทำอะไรทุกอย่างด้วยตนเองมากขึ้น น้ำหนักการจ่ายจึงสำคัญจริงๆ Passing สำหรับภาคที่แล้วนั้นมีปัญหาเรื่องมิติการจ่ายนั้นไม่ค่อยหลากหลายกันเท่าที่ควร ตัวสกิลจ่ายดีๆ อย่าง เดอบรอยนั้นถูกลดคุณค่าลง แล้วเน้นเกมเพลย์โชว์สกิลกันมากขึ้น ทำให้หลายๆ คนบ่นภาคที่แล้วกันในส่วนนี้ ในภาคนี้ก็เลยได้รับการแก้ไขแล้วโดยเน้นไปที่การจ่ายบอลภาคพื้นดิน การส่งบอล บอลผ่าน และการจ่ายบอลกึ่งช่วย พร้อมกับการรีเฟรชแอนิเมชั่นใหม่
ถึงแม้การจ่ายจะไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกครั้งไป แต่การจ่าย ทะลุช่องเริ่ม กลับมาใช้งานได้ง่ายขึ้นแล้ว ทิศทางนั้น ไม่ได้สำคัญอีกต่อไป เพียงแต่ คุณจะต้องให้ความสำคัญเรื่องน้ำหนักการจ่ายมากขึ้นต่างหากละ ส่งผลให้ ลูกครอสเปิดโหม่ง เริ่มหากินได้แล้วสำหรับภาคนี้ อีกทั้งการใส่ Hypermotion เข้ามาจะมีท่าอนิเมชั่นการจ่ายแบบสดใหม่เสมอ แล้วสมจริงยิ่งขึ้น (L1+สามเหลี่ยมเริ่มกลับมาเป็น Metaแล้ว)
Defending การป้องกันภาคที่แล้ว เรามักจะไปเน้นเรื่องของ AI Blocking ซะมากกว่า (แต่ภาคนี้เราต้องกด block เองด้วยนะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพบล็อค) ทำให้การเข้าไปแย่งบอล น้อยคนจะทำกันเพราะมีโอกาสพลาดหรือแย่งบอลบางครั้งก็ไม่ได้บอล ไปเด้งเข้าทาง การกดแย่ง Tackle เลยถูกบัฟเข้ามา อีกทั้ง ปุ่มให้เพื่อนไล่บอลนั้นสามารถเข้าแย่งบอลแทนเราได้แล้ว แต่จะมีเกจพลังบอกแทน เปรียบเสมือน Pressing แบบ semiๆ เฉพาะแต่ละตัว
และดูเหมือนจะมีชั้นเชิงในเกมรับมากขึ้น แต่โดยรวมแล้วทำให้เล่นง่ายขึ้น มีระบบการเบียดแย่งโหม่งใหม่ มีประสิทธิภาพมากและมีประโยชน์แม้กระทั่งกองหน้าก็ช่วยเกมรับในส่วนนี้ได้เหมือนกัน
จากเท่าที่เทสมา การแย่งบอลเลยทำให้ง่ายขึ้นจริงๆ แถมภาคนี้กรรมการจะไม่ค่อยเป่าฟาวบ่อยซะแล้ว ถ้าไม่รุนแรงจริงๆ ทำให้เกมรับภาคนี้ไม่หงุดหงิดซะเท่าภาคก่อนๆ แน่นอน
Dribbling การใช้สกิลมูฟในภาคนี้นั้นจะไม่ได้ OP เท่าภาคที่แล้ว แต่ยังสามารถใช้ในการเข้าทำได้อยู่ อีกทั้งยังเพิ่มท่าเลี้ยงแบบใหม่อีก 2-3 ท่า ที่ค่อนข้างใช้งานและมีประโยชน์ต่อการเล่นจริงๆ อีกด้วย
-Explosive Sprint (R2 / RT) การวิ่งสปริ้นกระชากแบบหนีคู่แข่งไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียวอีกแถมยังเสริมคอมโบกับการกระชากด้วย อนาลอคขวาสองทีมา ที่เราเคยเห็นนักเตะอย่าง Gareth Bale ทำมาก่อน
-skilled bridge (L2 + R1 R1) จะเป็นท่าคล้ายๆ ตอกส้นคล้ายท่านึง (Analog R หน้าไปหลัง) ไปข้างหน้า
ยังมีท่าอื่นๆ อีกเช่น scoop turn fake , first time spin ที่สามารถประยุกต์ใช้งานได้จริง
Goalkeeper :ระบบผู้รักษาประตูถึงยกเครื่องใหม่หมด (ถูกเขียนโค้ดขึ้นมาใหม่) อนิเมชั่นปรับใหม่หมด การเซพลูกเรียดใช้ขา หรือออกมาตัดบอล ฉลาดขึ้นกว่าเดิมเยอะ และ อย่าคิดว่า ดวล 1-1 แล้วจะหวานหมูนะ
Attacking : มาพูดถึงเกมรุกกันบ้าง แอนิเมชั่นใหม่ๆ มากมายทำให้สามารถยิงประตูที่ไม่เคยมีในเกม FIFA มาก่อน และท่ายิงจะรู้สึกซ้ำซากน้อยลงเนื่องจากประเภทของการแต่งบอลนั้นแตกต่างกัน
EA ได้ลดอัตราการยิงไม่เข้าจากการที่กองหลังเข้าไปกดดัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี การยิงจะมีความสม่ำเสมอมากขึ้นในสถานการณ์แบบ 1 ต่อ 1 (ทั้งนี้อยู่ที่ผู้รักษาประตูด้วย เหนียวกว่าภาคอื่น) โดยการยิงในกรอบเขตโทษและการยิงปั่นไกลๆ ดูเหมือนจะOPมากในการทดสอบช่วงแรก ก็ต้องรอดูว่า จะมีแพทช์ปรับเมื่อตอนเกมออกหรือไม่
อีกทั้งจากการบัพลูกครอสเข้ามา ทำให้การโหม่งมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม บ่อยครั้งที่ได้ประตูจากลูกเตะมุมอีกด้วย ดังนั้น กองหลังที่มี Header ดีๆ ก็สามารถทำประตูได้เช่นกัน
Verdict
FIFA 22 ถึงแม้จะไม่มีโหมดใหม่เข้ามา แต่เป็นภาคที่เติมเต็มจากภาคก่อนหรือได้ทำการแก้ไขปัญหาจากหลายๆ ภาค ให้ผู้เล่นรู้สึกสนุกไปกับเกมฟุตบอลที่สมจริงอีกครั้ง นี่เป็นก้าวแรกที่ดีของยุคใหม่ของ FIFA ที่ทำมาเพื่อเล่นบน Next-Gen โดยเฉพาะ มันจึงกลายเป็น FIFA ที่ดีที่สุดในรอบหลายปี
8.5/10
ข้อดี
-UI ที่ถูกจัดให้ใช้งานสะดวกกว่าภาคก่อน
-AI การยืนตำแหน่งทั้งแนวรุกและแนวรับนั้นยอดเยี่ยม
-กราฟฟิคสวยงาม ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี HyperMotion ทำให้เกมเพลย์ออกมาดูสมจริง
-เกมเพลย์โดยรวมทำออกมาสนุกที่สุดในรอบหลายปี
-ฟิสิกส์ลูกบอลถูกปรับให้ดีขึ้นมาก
– Soundtrackยังทำเจ๋งเหมือนเดิม
ข้อเสีย
-ไม่มีโหมดใหม่ที่เพิ่มเข้า
-โหมดต่างๆ ได้ใส่เนื้อหาเพิ่มเข้ามาก็จริง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็น Game Changer เพราะลูกเล่นที่ถูกใส่เข้ามามักจะดัดแปลงของเก่าจากโหมดอื่น ไม่ได้ส่งผลเกมเพลย์ของโหมดนั้นเท่าไร
-บัคการชนกันยังมีเหมือนเดิม