Gran Turismo ชื่อนี้ เกมเมอร์แฟน ๆ PlayStation น่าจะรู้จักเป็นอย่างดี ในฐานะหนึ่งในตระกูลเกมแข่งรถสมจริงที่ประสบความสำเร็จที่สุด
และแล้ว GT ก็พัฒนามาถึงภาค 7 ซึ่งเป็นภาคเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของเกมตระกูลดังกล่าวอย่างเป็นทางการ แล้วเกมนี้ยังคว้าใจแฟน ๆ ได้หรือไม่ มาดูในบทความ Gran Turismo 7 ได้เลย
Presentation
เพราะเกมนี้เป็นเกมไม่มีเนื้อเรื่อง จะเป็นโหมด Career ที่เน้นระบบการไต่เต้าจากนักแข่งมือใหม่สู่นักแข่งมือฉมัง ดังนั้นเราจะรีวิวจาก 3 หมวดที่เหลือแทน
Gran Turismo 7 จะมอบประสบการณ์การเล่นคล้ายกับ GT ภาคเก่า ๆ ที่เริ่มต้นมา คุณเป็นเจ้ามือใหม่ที่มีเงินติดตัวเพียงเล็กน้อย ต้องซื้อรถมือ 2 ราคาถูก ๆ แล้วไปแข่งรถในอีเวนต์ Sunday Cup เพื่อเอาเงินรางวัลมาซื้อรถคันใหม่ หรือใช้เงินแต่งรถคันเดิมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ไปใช้แข่งขันอีเวนต์ที่ยากท้าทายขึ้นไปแบบทีละขั้น ซึ่งตลอดทั้งเกมจะวนลูปกับการแข่งรถหาตังค์ แล้วเก็บสะสมคอลเล็กชันรถจนครบหมดหน้ากระดาษ
แน่นอนว่าภาคนี้ยังคงมี Licence Test การสอบใบอนุญาตขับแข่งรถยนต์ และภารกิจ Mission ที่ผู้เล่นต้องเฟลแล้วเฟลเล่า เพื่อเก็บเหรียญทองให้ครบทุกบททดสอบ หรือเล่นให้ผ่านครบบททดสอบ เพื่อสามารถเข้าอีเวนต์การแข่งขันที่มีเงื่อนไขต้องการใบขับขี่ขั้นสูง
แคมเปญหลักของภาคนี้จะเรียกว่า GT Café ซึ่งเป็นโหมดใหม่ ที่คุณต้องทำ Objective ต่าง ๆ ตามแต่ละเมนูกำหนดไว้ เช่น เข้าสอบใบขับขี่, ไปถ่ายรูปรถคันโปรด, เก็บสะสมรถยนต์, ชนะการแข่งขันระดับทัวร์นาเมนต์อันดับ 3 ขึ้นไป ฯลฯ ซึ่งของรางวัลจากการทำ Objective สำเร็จจะเป็นการให้นักออกแบบรถยนต์ตัวจริง มาให้ความรู้กับประวัติศาสตร์ของรถยนต์ประเภทต่าง ๆ ของแต่ละยุค, ปลดล็อกโหมดอื่น ๆ เพิ่มเติมในช่วงแรก และดำเนินเมนูเล่มต่อไป ซึ่งจะมี Objective ที่ยากมากขึ้น
การเก็บรถยนต์ตามเมนู GT Café ผู้เล่นสามารถปลดล็อกรถได้จากการซื้อรถมือสอง หรือแข่งรถให้ชนะอันดับ 3 ขึ้นไปตามรายการแข่งขันที่กำหนดไว้ ซึ่งจากความรู้สึกส่วนตัวล้วน ๆ ก็ต้องบอกเลยว่าไม่ค่อยชื่นชอบการปลดล็อกรถด้วยการแข่งรถชนะสักเท่าไหร่นัก เพราะถ้าเล่นเกมแข่งรถจนเป็นแล้ว จะพบว่าการปลดล็อกรถด้วยการเอาชนะอันดับ 3 ขึ้นไปนั้น มันค่อนข้างง่าย ง่ายจนรู้สึกไม่ค่อยภูมิใจเท่ากับการซื้อรถมือสองด้วยเงินทองของตัวเอง
โดยรวมแล้วโหมด GT Café ใช้เวลาเล่นจนจบราว 30 ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งจะจบช้าหรือเร็วนั้น ขึ้นอยู่ฝีมือการแข่งรถของแต่ละคน แต่ถึงอย่างนั้น แม้ GT Café จะจบแล้ว คุณยังคงสามารถเข้าร่วมแข่งขันในอีเวนต์อื่น ๆ เพื่อเก็บถ้วยรางวัลจนครบ แล้วนำเงินมาใช้จ่ายอะไรก็ได้เกี่ยวกับรถ โดยรวมแล้ว มันก็เป็นประสบการณ์เกม GT ที่แฟน ๆ หลายคนชื่นชอบแน่นอน
หนึ่งในจุดแข็งแกร่งของ Gran Turismo 7 ที่เกมแข่งรถเกมอื่นไม่มี ก็คือความเอาใจใส่ในรายละเอียด และการนำเสนอประวัติศาสตร์รถยนต์กับเรื่องราว Car Culture จากเกือบทั่วทุกมุมโลก
GT7 เปรียบเสมือนเป็นห้องสมุดรถยนต์ ที่รถทุกคันรถทุกรุ่น จะมีบทความเล่ารายละเอียดความเป็นมาให้อ่าน และรถเกือบทุกยี่ห้อมีโหมด “พิพิธภัณฑ์” เล่าประวัติความเป็นมาของแบรนด์ กับเผยผลงานรถที่โดดเด่น ตามไทม์ไลน์สมัยก่อตั้งบริษัท จนถึงยุคปัจจุบัน
นอกจากนี้ ตัวเกมได้นำเสนอระบบการซื้อรถยนต์ที่มีความคล้ายคลึงกับชีวิตจริง ในเกมจะมีร้านขายรถ 3 ประเภท อย่างเช่นประเภทแรก คือ Brand Central เป็นโชว์รูมขายรถใหม่, Used-Car Dealership ร้านขายรถมือสอง ที่ส่วนใหญ่จะขายรถจากยุค 90 และรถคลาสสิกที่ผ่านการขับมาแล้วหลายไมล์ และ Legend Cars เป็นร้านขายรถระดับตำนาน ที่จะมีการขายรถแข่ง รถหายาก ซึ่งราคาของรถจะขายแพงจนถึงหลักแสน หลักล้านไปจนถึงสิบล้านเครดิต
อย่างไรก็ดี ด้วยโมเดลรถยนต์ของเกม GT7 ซึ่งมีความใส่ใจในรายละเอียดแบบจัดเต็มทั้งข้างนอกกับข้างในรถ ทำให้ไม่ว่าคุณจะได้ครอบครองรถราคาถูก หรือรถราคาแพง คุณต้องรู้สึกประทับใจกับคุณภาพโมเดลรถยนต์ของเกมนี้ได้ไม่ยาก
แน่นอน ผู้เล่นสามารถดัดแปลง และบำรุงรักษารถให้กลับมามีสภาพสมบูรณ์แบบอีกครั้ง ด้วยการเข้าไปที่ร้าน GT Auto ซึ่งจะมีการบริการรถต่าง ๆ ตั้งแต่ล้างรถ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ฟื้นความทนทาน ดัดแปลงรถ เปลี่ยนสีรถ ตกแต่งลวดลายรถ รวมไปถึงเพิ่มบอดี้กว้าง
แม้ GT7 เป็นเกมภาคแรกที่ผู้เล่นสามารถซื้ออะไหล่ เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ของรถได้ แต่โดยรวมแล้ว ตัวเลือกในการเปลี่ยนอะไหล่ยังมีน้อยหากเทียบกับเกมแข่งรถหลายเกม เช่น ไม่สามารถเปลี่ยนกระโปรงรถ ไม่สามารถเปลี่ยนท่อไอเสีย (นอกเหนือจากการอัปเกรด) ไม่สามารถเปลี่ยนรูปแบบไฟหน้า ไฟหลัง ใครที่เป็นนักเลงรถก็อาจจะรู้สึกผิดหวังตรงส่วนนี้นิดหน่อย
และน่าเสียดายหน่อยที่รถยนต์ 400 กว่าคันในช่วงเริ่มต้น ส่วนใหญ่เป็นรถที่เคยปรากฏตัวให้เห็นในเกมภาค Sports มาก่อน และจำนวนรถที่มีให้ขับในช่วงเริ่มต้น ยังน้อยหากเทียบกับเกมภาค 4-6 แต่ส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกขัดใจมากขนาดนั้น เพราะรถทั้งหมดในเกม มีคุณภาพรายละเอียดระดับท็อป หรือบอกว่าเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณก็ว่าได้
ส่วนสนามแข่งรถทั้งหมดจะมี 91 สนามจากทั้งหมด 34 แห่งจากทั่วโลก โดยสนามแข่งรถมีทั้งสนามจากชีวิต และสนามแข่ง “แฟนตาซี” ที่ออกแบบโดยทีมงานขึ้นมาเอง ซึ่งทุกสนามมีบรรยากาศสมจริง มีสีสันเป็นธรรมชาติ มีชีวิตชีวา และมีความใส่ใจในรายละเอียดไม่แพ้ของรถยนต์เลยทีเดียว
ถึงอย่างนั้น รถยนต์และสนามแข่งใหม่จะมีการทยอยอัปเดตเข้ามาเกมในอนาคต ซึ่งแฟน ๆ GT บางคนอาจจะผิดหวังตรงจุดนี้ เพราะ GT มีชื่อเสียงในด้านการมอบคอนเทนต์ Full-Package ตั้งแต่ Day 1 มาโดยตลอด แต่ส่วนตัวคิดว่าปริมาณคอนเทนต์ของ GT7 ในช่วงเปิดเกมครั้งแรก ถือว่ามีความคุ้มค่าตามมาตรฐานเกมระดับ AAA
นอกจากนี้ ตัวเกมนำระบบ “Music Replay” กลับมาจาก GT3 หรือการเล่น Replay โดยเปลี่ยนมุมกล้องตามจังหวะเพลง ซึ่งช่วยให้การเล่น Replay ดูสนุกสนานน่าตื่นเต้น มีความเป็นแอ็กชันมากขึ้น แม้บางครั้งจะมีคัตมุมกล้องที่แปลก ๆ ไปบ้าง รวมถึงไม่ได้มีทุกเพลงที่รองรับ Music Replay แต่โดยรวม ถือว่าเป็นประสบการณ์การเล่นที่หาไม่ได้จากการเล่นหลายเกม
และแน่นอน โหมดถ่ายรูป ยังคงมาพร้อมกับตัวเลือกตั้งค่ามากมาย ที่ช่วยให้สามารถถ่ายรูปรถที่คุณรัก โดยผู้เล่นสามารถถ่ายรูปได้ในระหว่างการเล่น Replay และในโหมด Scape ที่มีให้เลือกฉากหลัง และ Landmark จากสถานที่จริงมากกว่า 1,000 แห่งเกือบทั่วทุกมุมโลก
สุดท้าย GT7 รองรับภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งตัวเกมมีการแปล Localization ได้ตรงตามบริบท ใช้ฟอนต์กว้างสบายตา มีการใช้คำศัพท์ในแวดวง Car Culture ของไทย ที่ทำให้ผู้เล่นบ้านเรา สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับรถยนต์ได้อย่างเข้าใจ ไม่ต้องกลัวอ่านไม่รู้เรื่องเพราะปัญหากำแพงภาษาอีกต่อไป
โดยข้อเสียของเกมแปลไทยสำหรับ GT7 ที่มองเห็นในตอนนี้ คือ บางคำมีเขียนผิด และสีตัวอักษรกลืนไปกับพื้นหลัง ทำให้อ่านยากลำบากบางครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาเล็กน้อยนี้สามารถแก้ไขได้ในอนาคต
Gameplay
แม้ GT7 จะเป็นเกมแข่งรถแบบสมจริง ดั่งสโลแกน “The Real Driving Simulator” แต่ความจริงแล้ว หากเทียบเกมแข่งรถสมจริงอื่น ๆ แล้ว เกมนี้จัดว่าค่อนข้างเข้าถึงง่าย
GT7 มีตัวเลือกแฮนดิแค็ปสำหรับการปรับความยากของ AI ตั้งแต่ง่ายสุด จนถึงยากสุด ซึ่งยิ่งมี “ระดับความเผ็ด” มากเท่าไหร่ พฤติกรรมของ AI ก็จะยิ่งดุดันมากขึ้นเท่านั้น
แม้ AI มีความดุดันมากขึ้น ก็ไม่ได้ความว่า AI จะโหดเกินไปจนเราต้องยอมใช้วิธีสกปรกในการเอาชนะ เพราะ AI จะยังทำตามกฎกติกาการแข่งขัน และรักษาน้ำใจนักกีฬา ด้วยการไม่ชนรถของคุณจนออกนอกสนาม หรือพยายามขับรถบังหลัง ไม่ให้แซงหน้าไปได้ ซึ่งโดยรวมแล้ว ความยากท้าทายของ AI อยู่ในเกณฑ์บาลานซ์พอดี
แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่อง Rubberbanding หรืออาการที่รถของคู่แข่ง สามารถวิ่งไล่ตามเราทันทั้งที่อยู่ห่างไกลกันหลายไมล์ไปได้เลย เพราะจากการเล่นตลอดทั้งเกม เราไม่เจอ AI โกง Rubberbanding สักครั้งเลย โดย AI สามารถแซงหน้ารถของเราได้นั้น ก็ต่อเมื่อรถของคู่แข่ง มีความเร็วแรงม้าสูงกว่ารถของเราจริง ๆ เท่านั้น
และหากเผชิญหน้ากับปัญหาขับรถในเกมไม่เก่ง GT7 ได้มีตัวเลือก Assist ต่าง ๆ ที่ช่วยให้การเล่นง่ายขึ้น ตั้งแต่การเลี้ยวเข้าโค้งอัตโนมัติ, การเบรกอัตโนมัติ, เผย Race Line เป็นไกด์บอกเส้นทางในการขับรถ และอื่น ๆ อีกหลายตัวเลือก แต่แน่นอนการเปิด Assist จะสร้างความเสียเปรียบในการเล่น Multiplayer เพราะการปิด Assist ทำให้ผู้เล่นสามารถควบคุมรถได้อิสระมากขึ้น
ส่วนอีเวนต์การแข่งรถใน GT7 มีทั้งโหมด Race แข่งขันคว้าชัยชนะอันดับ 3 ขึ้นไป, การแข่งทัวร์นาเมนต์ สะสมแต้มจากการแข่งขันจบแต่ละครั้ง, การแข่งขัน Enderance วัดความอดทน, การแข่งบนพื้นดิน Rally, Music Rally และการดริฟต์
เกือบทุกรายการแข่งขัน ยกเว้น Sunday Cup และ Clubman Club จะมีข้อจำกัดรถที่สามารถใช้ในการแข่งขัน ยกตัวอย่างเช่น บางอีเวนต์ มีข้อบังคับว่าห้ามใช้รถที่มีค่าประสิทธิภาพ (Performance Point) เกิน 500 PP ขึ้นไป ซึ่งผู้เล่นต้องหารถคันใหม่ที่ไม่เกิน 500 PP หรือดาวน์เกรดรถคันเดิมให้ด้อยประสิทธิภาพลง หรือบางอีเวนต์ มีการบังคับให้ใช้รถประเภทเครื่องยนต์ข้างหน้า ขับเคลื่อนล้อหน้าเท่านั้น
การปรับแต่งจูนรถ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญ ที่ทำให้รถยนต์ของคุณมีประสิทธิภาพโดนใจตามสไตล์การขับขี่ของแต่ละคน ถ้าหากพบปัญหารถมีอาการ Oversteer, Understeer อยากให้รถมีอัตราเร่งที่มากขึ้น โดยเสียสละความเร็วสูงสุดไปบางส่วน แน่นอนว่าผู้เล่นสามารถทำแบบนั้นด้วยการเข้าหน้าต่างจูนรถ ซึ่งมีตัวเลือกการปรับแต่งตั้งค่าที่หลากหลายกว่าเกมภาค Sport
และสิ่งที่ต้องพูดถึงสำหรับฟีเจอร์ Exclusive จากการเล่นเกมด้วยจอยคอนโทรลเลอร์ DualSense คือตัวเกมรองรับการตอบสนอง Haptic Feedback กับ Adaptive Triggers ที่ช่วยมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่ดูสมจริง Immersion ยิ่งกว่าเดิม
คอนโทรลเลอร์จะตอบสนองสั่นทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนเกียร์, การกดเบรก L2 ตัวปุ่มจะไม่ยุบตัวลงทันที แต่จะค่อย ๆ ยุบลงเรื่อย ๆ และมีอาการสั่นเหมือนกำลังขับรถในชีวิตจริง ซึ่งเป็นประสบการณ์การเล่นเกมแข่งรถที่แปลกใหม่พอสมควร
ส่วน Multiplayer ยังคล้ายกับภาค Sport คือมีการแข่งขันแบบประจำวัน เน้นบรรยากาศ Competitive และห้องล็อบบี้ ให้คุณสามารถเข้าร่วมเล่นเกมกับคนอื่นได้อย่างสนุกสนาน ฟรีสไตล์ โดยทุกครั้งที่เข้าโหมดออนไลน์ ตัวเกมจะโชว์คะแนนนักแข่ง ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการเผยประสบการณ์ในการเล่นโหมดออนไลน์ และคะแนนน้ำใจนักกีฬา ที่หากมีเกรดสูงก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณนั้นแข่งขันรถแบบรักษากฎกติกา ไม่ชนใคร ไม่เบียดใคร มีการชะลอรถเมื่อมีอุบัติเหตุข้างหน้า
แต่ถึงแม้จะมีโหมดเกมหลากหลาย และมีความยากท้าทายที่ทั้งเหมาะสำหรับมือใหม่ จนถึงเหมาะสำหรับผู้มีประสบการณ์เล่นเกม สุดท้าย ผู้เล่นจะใช้เวลาส่วนใหญ่กับการขับรถในสนามแข่งอยู่ดี ซึ่งอาจจะไม่ถูกใจเกมเมอร์ ที่อยากแข่งรถในแผนที่ที่เปิดกว้างตามสไตล์ Open-World
ก็ไม่แปลกใจที่บางคนจะมองว่า GT หรือเกมแข่งรถแนวสมจริงเป็นเกมที่น่าเบื่อ ไม่เร้าใจ เพราะเกมเพลย์เน้น “ความนิ่ง” การใช้สมาธิใจจดใจจ่อกับการแข่งทำเวลาให้เร็วที่สุด มากกว่าเกมแข่งรถแบบที่ขับง่าย มีแอ็กชันน่าตื่นเต้น และมี Sense of Speed ที่เร้าใจ รวมถึงบางคนอาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายจำเจ หรือเหนื่อยล้าจากการแข่งรถบนสนามเดิม ๆ วนซ้ำกันหลายรอบ หลายนาทีได้เช่นกัน
Performance
ตั้งแต่ Gran Turismo ภาคแรก จนถึงภาค Sport เกมดังกล่าวมีจุดแข็งแกร่งในด้านการนำเสนอภาพกราฟิกที่สวยงามสมจริง มีรายละเอียดเยอะ และเป็นเกมงัดประสิทธิภาพของเกมคอนโซล PlayStation อย่างสูงสุดมาโดยตลอด ซึ่งภาค 7 ก็ยังคงรักษามาตรฐานในด้านคุณภาพกราฟิก และ Performance เป็นอย่างดี
จากการเล่นเกมเวอร์ชัน PlayStation 5 ผ่านเกมคอนโซลรุ่นปัจจุบัน (PS5) แม้มองเผิน ๆ กราฟิกอาจจะดูไม่แตกต่างจากภาค Sport มากนัก แต่จากการสังเกตด้วยการชม Replay และเล่นเกมด้วยมุมกล้องในรถ พบว่ารายละเอียดของรถ แผนที่สนามแข่ง และ Sense of Speed มีการอัปเกรดจากเกมภาค Sport แบบยิบย่อยข้างเยอะเลยทีเดียว
สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดมากที่สุด คือ หญ้าสนามแข่งได้ปรากฏตัวให้เห็นในเกมแล้ว รายละเอียดของต้นไม้และใบไม้สูงมากขึ้นอย่างมาก เอฟเฟกต์แสงสว่าง การสะท้อนแสงระหว่างสองวัตถุ กับเงามีความซอฟต์สมจริง และแน่นอน Texture เบาะรถยนต์ สัญลักษณ์แบรนด์ ลูกบิด ช่องแอร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย มีรายละเอียดชัดเจน และโมเดลมีขอบที่เนียนมากขึ้น
GT7 มีระบบการเปลี่ยนสภาพอากาศ และเปลี่ยนช่วงเวลาท้องฟ้าแบบไดนามิก รวมถึงหากสนามแข่งมีขนาดใหญ่มากพอ บางพื้นที่จะมีสภาพอากาศฝนตก ในขณะที่อีกฟากหนึ่ง มีสภาพอากาศท้องฟ้าแจ่มใส ซึ่งแน่นอนว่าระบบดังกล่าวเป็นการสร้างอุปสรรค ทำให้การขับรถด้วยความเร็วสูง เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น
แม้กราฟิกมีการอัปเกรดยิบย่อยจากภาค Sport มากมาย แต่ในระหว่างการเล่น เกมเพลย์สามารถรันเฟรมเรตได้ลื่นไหลที่ 60 FPS ภาพความละเอียดระดับ 4K ซึ่งจากการเล่นสะสมเป็นเวลาหลายชั่วโมง ก็พบว่าตัวเกมรันได้อย่างราบรื่น แต่มีโอกาสเจออาการสะดุด Stutter ที่น้อยมากด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ GT7 เวอร์ชัน PS5 มีตัวเลือกกราฟิก “เน้น Ray Tracing” เป็นการเปิดเอฟเฟกต์สะท้อน Ray Trace ในโหมดถ่ายรูป, การเล่นวิดีโอ Replay และฉาก Showcase อวดโฉมรถยนต์คันต่าง ๆ ซึ่งการเปิด Ray Trace ต้องแลกกับการจำกัดเฟรมเรตลงที่ 30 FPS แต่ระหว่างการเล่นเกม ตัวเกมจะทำการปิด Ray Trace เพื่อเพิ่มขีดจำกัดเฟรมเรตเป็น 60FPS อีกครั้งโดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ดี GT7 จะบังคับต้องเชื่อมต่อออนไลน์ตลอดเวลา ถ้าหากออฟไลน์ ตัวเกมจะไม่สามารถเข้าถึงได้หลายอย่าง แม้ Yamaguchi เผยสาเหตุที่ต้องออนไลน์ตลอดเวลา เพื่อให้เกมอัปเดต Patch ง่ายขึ้น และป้องกันการโกงเกม ซึ่งก็ถือว่าเป็นสมเหตุสมผล แต่แน่นอนว่าการบังคับให้ออนไลน์ตลอดเวลา ก็ทำให้การเล่นเกมไม่สะดวกหลายอย่างตามมาด้วยเช่นกัน
สรุป
เมื่อคนรักรถมาสร้างเกม ใส่ใจคราฟต์รายละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว ต้องการอยากให้คนรุ่นใหม่เข้าใจในเรื่องราว Car Culture ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานเกิน 100 ปี ส่งผลลัพธ์ทำให้ Gran Turismo 7 คือเกมแข่งรถสมจริงที่ Perfect สำหรับผู้หลงใหลในยานยนต์อย่างแท้จริง แม้คอนเทนต์ไม่ได้มาแบบ Full Package เหมือน GT ภาคเก่า แต่ประสบการณ์ที่ได้จากการเล่นเกมนี้ แฟน ๆ GT จะต้องรู้สึกไม่ผิดหวังแน่นอน
ข้อดี
- ภาพกราฟิกสวยงามสมจริง รายละเอียดจัดเต็ม
- ความรู้สึกในการขับ และเลี้ยวรถยอดเยี่ยม
- Singleplayer มีโหมดเกมหลากหลาย
- Performance ดีเยี่ยมใน PlayStation 5
- ฟีเจอร์ DualSense ใน GT7 มอบประสบการณ์การขับรถที่แปลกใหม่
ข้อเสีย
- คอนเทนต์ไม่ได้มาแบบ Full Package เหมือน GT ภาคเก่า
- รถส่วนใหญ่มาจากภาคเก่า
คะแนน 9