BY Markrider
25 Mar 21 5:18 pm

รีวิว It Takes Two เดินทางเพื่อค้นพบ ความหมายของครอบครัว

752 Views

ผลงานใหม่จาก Hazelight Studio ผู้สร้างเกม Co-op คุณภาพเยี่ยมทั้ง Brother a Tale of Two Sons และ A Way Out กลับมาในเกมใหม่ จะยังคงเป็นเกม co-op ที่ดีอยู่หรือไม่ ขอเชิญพบกับรีวิว It Takes two

เนื้อเรื่อง

Cody และ May สองสามีภรรยาที่แต่งงานกันมาพักใหญ่ ๆ จนมีลูกสาวแสนน่ารักด้วยกันหนึ่งคนคือ Rose แต่เหมือนชีวิตแต่งงานช่วงหลังจะไปได้ไม่สวย เพราะทั้งสองต่างแสดงนิสัยแย่ ๆ ออกมาจนต่างฝ่ายต่างอดรนทนไม่ไหว ตัดสินใจเซ็นใบหย่า ทั้งสองนั้นทำใจบอก Rose ไม่ได้ว่าหย่ากันแล้ว แต่ก็ไม่เลยรู้ว่าลูกสาวรู้เรื่องนี้ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปบอกด้วยตัวเอง

ในความคิดของ Rose การแยกทางกันของพ่อและแม่ทำให้เธอรู้สึกว่าหมดสิ้นหนทาง เธอเลยไปขอให้หนังสือความรักของ Dr. Hakim ช่วย งานนี้เลยเกิดปาฏิหารย์บางอย่าง ที่เสกให้ทั้งพ่อและแม่กลายร่างมาเป็นตุ๊กตาที่เธอสร้างขึ้นมาเอง

นี่เป็นอีกหนึ่งพล็อตยอดฮิต ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ การ์ตูน หรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมาเพื่อดูกันเป็นครอบครัว พล็อตสานสัมพันธ์แบบนี้ได้รับความนิยมมาตลอด แต่กับเกม เราอาจจะไม่ค่อยเห็นพล็อตแบบนี้เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักมากนัก ส่วนมากจะเป็นประเด็นรอง ๆ ที่ใส่เข้ามาให้เสียน้ำตามากกว่า แต่ใน It Takes Two ประเด็นครอบครัวคือประเด็นหลักของเกม

แต่ก็ไม่ได้อ่อนไหวร้ายแรงขนาดขุดกันขึ้นมาถึงรากถึงโคน It Takes Two ยังใจดีที่ตีความคำว่า “ปัญหาระหว่างคู่รัก” ไว้ค่อนข้างเบา เราเห็นแค่นิสัยเสียเบา ๆ ของทั้งสองแค่นั้น จนอาจจะคิดในใจว่า เรื่องแค่นี้ทำไมไม่คุยกัน หลายต่อหลายครั้ง แต่ส่วนหนึ่งก็เข้าใจได้ เพราะถ้าเอาปัญหาที่หนักหนามาเล่นเลย เกมอาจจะไม่ให้อารมณ์ที่ Feel good แต่จะกลายเป็นอารมณ์เครียดแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทน

ทั้ง Cody และ May มีความคิดที่สะท้อนออกมาแบบเด็ก ๆ คือไม่รู้จักวางแผน และมีวุฒิภาวะไม่เหมาะสมกับวัย แต่อารมณ์ส่วนนี้ก็ถูกแทนที่ด้วยความสนุก ระหว่างทาง เราจะได้ยินสองคนคุยกันถึงแผนตลก ๆ แผนร้าย ๆ จินตนาการบรรเจิดที่น่าจะหมดไปในวัยนี้แล้ว นี่ก็อาจจะเป็นเสน่ห์อีกอย่างของเกมที่อยากให้เหล่าผู้ใหญ่ทั้งหลาย ตระหนักว่าความสนุกยังมีอยู่ในชีวิตเสมอ แม้ว่าวัยของคุณและคู่ของคุณจะอยู่ในจุดที่ต้องจริงจังกับชีวิตแล้วก็ตาม

จริง ๆ เรื่องราวของ It Takes Two ยังมีอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจนอกจากชีวิตคู่ ถูกเล่าออกมาตรง ๆ ผ่านความรู้สึกของตัวละคร หรือถูกเล่าผ่านสิ่งของระหว่างทางที่ทั้งคู่เดินมาเจอและเกิดความทรงจำถึงมัน ทุกอย่างเหมือนเกมนี้กำลังจะบอกเราว่า บางทีคนที่เราคิดว่าเรารู้จักดีที่สุด ท้ายที่สุดแล้วเราอาจจะไม่รู้จักเลยก็ได้ เป็นเสมือนการเตือนสติกลาย ๆ ให้เราหันกลับไปคิดว่า สิ่งรอบตัวที่เรามีอยู่ เราเข้าใจมัน หรือดูแลมันดีแล้วหรือยัง

การนำเสนอ

It Takes Two เป็นเกมผจญภัยแพลตฟอร์มแบบมุมมองบุคคลที่ 3 ที่น่าจะหายากแล้วสำหรับยุคนี้ เพราะเทรนด์ของเกมที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างไม่หยุด คนก็เลยหันไปทำเกมแบบ Open World เสียหมด ฉะนั้นไอ้เกมแบบฉากต่อฉาก มันเลยถูกมองเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่เก่า และมีคอนเทนต์ที่น้อยกว่าเกมแนว Open World ไปเสียอย่างนั้น

แต่ It Takes Two ออกแบบธีม และฉากออกมาได้ดีทีเดียว ในเมื่อถูกตีไปว่าเกมแนวนี้มันล้าสมัยแล้ว เขาเลยใส่คอนเทนต์หลักหลาย ๆ แบบมาไม่ให้พักหายใจ เดี๋ยวเปลี่ยนไปแบบนั้นที แบบนี้ที ต้องขบคิดตลอดเวลาว่าตรงนี้จะเอาแบบไหน ตรงนี้จะเอายังไง ไม่มีมาแบบกระโดดโหยง ๆ ตลอดเกมให้เราหาวหวอด ๆ เพราะวิธีเล่นและด่านมันซ้ำกัน บอกเลยว่าในเกมนี้ ไม่มี

การออกแบบทางเดินและเส้นทางในเกม ทำให้เรานึกไปถึงเครื่อง Rube Goldberg machine ที่คนสร้างสามารถหยิบจับของรอบตัวมาประกอบกันแล้วให้ลูกแก้ววิ่งไปตามทาง สร้างกลไกสุดล้ำ เหยียบตรงนี้ ผลักตรงนั้น เล่นไปก็รู้สึกทึ่งในไอเดียของคนสร้าง และในเมื่อเราเล่นเป็นของเล่นตัวเล็ก ๆ สิ่งที่เราเจอในฉากเลยจะเป็นของใช้ส่วนตัวทั่วไปที่มีแทบทุกบ้าน กางเกงใน ลูกฟุตบอล ปราสาทของลูกที่ทำด้วยหมอน ตรงนี้ได้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งดู Toy Story เลย เพราะของเล่นในเกมนี้ กับของเล่นใน Toy Story มันพูดได้เหมือนกัน มีธีมสดใสคล้าย ๆ กัน แถมมีเรื่องราวความสัมพันธ์ซึ้ง ๆ ระหว่างของเล่นและลูกสาวด้วย อันนี้ไม่รู้ว่ามีแอบล้อกันหรือเปล่า

ที่สงสัยแบบนั้นเพราะเกมนี้ล้อเลียนสื่ออื่น ๆ อยู่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นการล้อเลียน Star Wars ในฉากขับยาน ด้วยการบรรเลงเพลงสไตล์เดียวกับในภาพยนตร์ แถมฉากนั้นยังเหมือนการขับยานออกจาก Death Star เอามาก ๆ ยังมีการล้อเลียน Street Fighter ด้วยการเอาท่ายอดฮิตต่าง ๆ มาใช้ รวมถึงฉาก KO ตอนท้ายที่เหมือนเอามาก ๆ ตรงจุดนี้ถ้าใครเป็น Pop Culture Boy เราคิดว่าคุณจะขำในหลาย ๆ ฉากอย่างแน่นอน

เกมการเล่น

ปกติเวลาเราเล่นเกมหนึ่งเกม เกมนั้นก็จะคงระบบการเล่นหลักเอาไว้ตั้งแต่แรกจนจบ หากเล่น Call of Duty คุณก็ต้องยิง เล่น Need for Speed ก็ต้องแข่งรถ แต่สำหรับ It Takes Two มันเป็นแพลตฟอร์มเมอร์ที่ใส่ไอเดียเข้าไปเยอะมาก มันอาจจะไม่ได้ฉีกเกมเพลย์การเล่นไปโดยสิ้นเชิง หลัก ๆ มันก็ยังเป็นเกมที่ต้องวิ่ง กระโดด กะจังหวะ แก้ปริศนาอยู่ส่วนใหญ่ แต่ในแต่ละแชปเตอร์ของเกม มันจะเปลี่ยนแนวทางการเล่นไปเรื่อยๆ จึงทำให้ระหว่างการเล่น ไม่รู้สึกเบื่อได้ง่ายๆ เลย

อย่างในฉากแรก It Takes Two มีกลไกในการเล่นกับท่อสูบลม ที่จะต้องช่วยกันดึง ถือ ปรับลมเพื่อแก้ปริศนาให้ไปต่อได้ เมื่อเข้าสู่ฉากที่สอง กลไกนี้ถูกตัดทิ้ง กลายเป็นต้องใช้หัวค้อน กับตะปูในการแก้ปัญหาแทน พอเข้าสู่ฉากที่สาม กลไกก่อนหน้าก็ถูกตัดทิ้งอีก กลายเป็นเกมแอคชัน กลายมาเป็นเกมบู๊แหลกระเบิดรังผึ้ง พอเข้าสู่ฉากต่อมาก็เป็นเกมไขปริศนาที่คนนึงยืดได้หดได้ กับอีกคนสามารถเปลี่ยนมิติการเดินทางได้ ซึ่งทั้งหมดนี้รวมกันอยู่ในเกมเกมเดียวเท่านั้น

ยังไม่หมด นอกจากเกมเพลย์ที่เป็นส่วนหลักแล้ว มินิเกมย่อย ๆ ก็เป็นตัวเปลี่ยนอารมณ์ให้เกมไม่น่าเบื่อเช่นกัน ถ้าคุณประทับใจใน Metal Gear กับการปราบบอสที่แปลกประหลาดเกินจะบรรยาย อยากให้คุณลอง It Takes Two เพราะมันมีหลายฉากที่ประหลาดไม่แพ้กันเลย ไม่ว่าจะเปลี่ยนตัวเองเป็นเกมยิงยาน เกมแพลตฟอร์มแบบสองมิติ ทุกอย่างมีแทรกอยู่ตลอดทั้งเกม

เห็นชมเยอะแบบนี้ เราก็มีปัญหากับตัวเกมอยู่เหมือนกัน เพราะถึงแม้เกมนี้จะสร้างมาเพื่อเล่นสองคน ที่ปกหน้าและสไตล์ของเกมดูเหมือนจะเล่นง่าย เข้าใจง่าย เหมาะกับการเล่นในครอบครัว แต่จากการสัมผัสจริง เรารู้สึกว่ามันยาก ยากเกินกว่าที่คนที่ไม่ได้เล่นเกมเป็นประจำจะสามารถเล่นได้อย่างสบายหัว เกมเพลย์แชปเตอร์นี้เพิ่งจะเล่นเป็นไม่นาน แชปเตอร์ต่อไปก็ต้องเปลี่ยนอีกแล้ว ไหนจะมุมมอง มุมกล้องที่เปลี่ยนไปตามฉากอีก บอกได้เลยว่าเกม It Takes Two อาจเปลี่ยนชื่อเป็น It Takes Two Days to pass this chapter ก็ได้

ยกตัวอย่างเช่น บอสกล่องอุปกรณ์ จากฉากแรก ที่เราจะต้องใช้ Cody ปาตะปูไปปักตรงแผนไม้ที่อยู่บนแขนขวาของบอส และใช้ May กระโดดเกาะตะปูสองจังหวะเพื่อส่งตัวเองไปตีลูกกุญแจข้างตัวบอส ตรงนี้เราเชื่อเลยว่า คนส่วนมากน่าจะมีปัญหา เมื่อคู่หูของคุณที่ไม่รู้เรื่องเกม หรืออาจจะเล่นเกมแต่ไม่คุ้นชินกับการบังคับที่รวดเร็วมาก่อนต้องมาเล่นฉากนี้ ทำให้ความรวดเร็วในการสร้างกระบวนการ 2-3 อย่างในระยะเวลาสั้น ๆ อาจเป็นปัญหาใหญ่ และทำให้คุณไม่ผ่านบอสตัวนี้หรือจุด ๆ นี้ได้ง่ายนัก

ยังไม่หมด ยังมีบอสหลาย ๆ ตัวที่จำเป็นจะต้องใช้จังหวะที่ค่อนข้างเป๊ะและเร็ว เช่นบอส Queen Bee ที่ใช้การยิงต่อสู้เต็มสูบ คนเล่นจะต้องโยกมุมกล้องเพื่อหลบ และยังต้องเล็งปืนไปในเวลาเดียวกัน และเมื่อรวมกับตัวเกมที่ไม่ค่อยสงสารผู้เล่นซักเท่าไหร่ ศัตรูบางตัวโจมตีเราเพียงสองครั้งเท่านั้น แถมบางท่าโดนครั้งเดียวก็ตายแล้ว ทำให้เราเชื่ออย่างมากว่าเกมนี้ เหมาะกับผู้เล่นสองคนที่ผ่านการเล่นเกมมาค่อนข้างเยอะแล้ว มากกว่าที่จะส่งให้ใครไม่รู้ที่ไม่เคยเล่นเกมมาเล่นเกมนี้เลย ยิ่งถ้าคุณหรือคู่หูของคุณเป็นคนใจร้อน เรายิ่งไม่แนะนำ เพราะมันอาจทำให้หัวร้อนจนทะเลาะกันเลยก็ได้

ประสิทธิภาพ

ความต้องการของ It Takes Two ไม่ได้มากมายเท่าไหร่นัก ในขั้นแนะนำ เกมต้องการเพียงซีพียูที่มากกว่าเจน 3 และการ์ดจอที่แรงในระดับ GTX 980 เท่านั้น ซึ่งถ้ามาในยุคนี้แล้ว GTX 1060 การ์ดจอขั้นต่ำที่หลายคนน่าจะกำลังใช้กันอยู่ คงเล่นเกมนี้กันได้ไม่ยาก

และจากการทดสอบกับ GTX 1050Ti ตัวฮิตที่หลายคนน่าจะกำลังหากันมาใช้ เนื่องด้วยสภาวะราคาการ์ดจอทะลุเพดานตอนนี้ เราไม่พบว่ามันมีปัญหาหนักถึงขั้นเล่นไม่ได้ ตัวเกมเล่นแบบ 60 FPS นิ่ง ๆ โดยมีปัญหาใด ๆ ตรงนี้สำหรับใครที่กังวลเรื่องสเปกคอม ถ้าคุณมีการ์ดจอที่มากกว่าเรา คุณซื้อมาเล่นได้เลย ยังไงก็เล่นได้

สำหรับเรื่องบั๊ก เรื่องความผิดพลาดในเกม เราว่าหลายคนน่าจะอยากรู้ในส่วนนี้เหมือนกัน เพราะเกมที่ออกมาช่วงปลายปีที่แล้วกับต้นปีนี้ ส่วนมากมีแต่บั๊ก ทั้งบั๊กเล็ก ๆ ที่สร้างความรำคาญ ไปจนถึงบั๊กใหญ่จนเล่นเกมไม่จบเลยก็มี แต่สำหรับ It Takes Two เป็นเกมแรกที่เราแทบจะหาบั๊กไม่เจอ

จริง ๆ ที่เล่นมาเราเจอบั๊กอยู่ประมาณหนึ่งครั้ง กับอีกครั้งที่เรามองว่าเป็นบั๊ก แต่จริง ๆ มันน่าจะไม่ใช่ โดยครั้งแรกมันเกิดจากการกระโดดผิดจังหวะจนตัวละครตกลงไปในหลุม ซึ่งตรงนี้ตัวละครน่าจะตาย แล้วเกิดขึ้นมาใหม่เพื่อให้เกมมันดำเนินต่อไปได้ แต่ตัวละครที่หล่นลงไปกลับไม่ตาย แถมบังคับอะไรไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ต้องรีเซ็ตฉากอย่างเดียว ไม่มีวิธีแก้แบบอื่น

ส่วนอีกครั้งจะเป็นการแก้ปริศนาถ่วงน้ำหนัก ระหว่างเล่น เราคิดว่าหากใช้ May ยืนในจุดที่แตกต่างจาก Cody จะเป็นการดันตัวละครอีกตัวให้ต่ำลง แต่เมื่อลองใช้วิธีนั้น ไม่ว่า May จะยืนอยู่ในจุดไหน ก็ไม่ส่งผลให้แก้ปริศนาตรงนี้ได้ ซึ่งเรามาค้นพบทีหลังว่า มันต้องใช้อีกวิธีในการผ่าน ทำให้เรารู้ว่า ตัวเกมไม่ได้มีทางเลือกให้เรามากอย่างที่คิด และเราต้องแก้ปัญหาตามที่ตัวเกมกำหนดมาเท่านั้น เพื่อที่จะผ่านด่าน

สรุป

แม้ว่า It Takes Two ยากเกินกว่าจะเป็นเกมที่ไม่ว่าใครก็สามารถเข้ามาเล่นได้ง่าย ๆ แต่เพราะเกมเพลย์ที่หลากหลาย โลกของเกมที่สดใสราวกับดูอนิเมชันชั้นยอด รวมกับเนื้อหาน่าสนใจ ที่มองออกเลยว่าเล่นนาน ๆ ไป จะต้องมีน้ำตาไหลกับความประทับใจบ้างแน่ ๆ ถ้าคุณมีคู่หูคู่ใจที่พร้อมสัมผัสเรื่องราวนี้ไปพร้อม ๆ กัน เราแนะนำอย่างมากให้คุณซื้อเกมนี้มาเล่น

SHARE

Nattapit Arsirawatvanit

มาร์ค - Senior Content Writer

Back to top