เดินทางมาถึงภาคที่ 16 กันแล้วสำหรับเกมซีรีส์ Ratchet & Clank อีกหนึ่งเกมผจญภัยคู่บุญของเครื่อง PlayStation และภาคนี้ก็ได้มีการพัฒนายกระดับส่งให้นี่เป็นเกมพระเอก Exclusive บนเครื่อง PlayStation 5 ถือเป็นไม้เด็ดที่แฟน ๆ รอคอย
เดือนมิถุนายนปี 2020 ในงานเปิดตัวเครื่อง PlayStation 5 ของ Sony หนึ่งในเกมที่ถูกเปิดตัวพร้อมกับเครื่องและกลายเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงภาพได้ชัดเจนที่สุดว่าเครื่องเกมในรุ่นนี้จะทรงพลังขนาดไหนก็คือเกมที่มีชื่อว่า Ratchet & Clank: Rift Apart
ด้วยสีสันที่สดใสภาพที่คมชัดรวมไปถึงรายละเอียดมากมายภายในฉากและการต่อสู้ที่ดูสนุกพร้อมพ่วงชื่อที่พัฒนาอย่าง Insomniac Games ก็ทำให้แฟน ๆ หลายคนเฝ้าคอยและคาดหวังว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งเกมไม้เด็ดของ PlayStation 5 ซึ่งมันจะจริงหรือเปล่าและสุดท้ายแล้วเกมนี้มันมีอะไรเด็ดนอกจากภาพที่สวยงามไปหาคำตอบพร้อมกันในรีวิวฉบับนี้ได้เลย
Story
ถึงตัวเกมจะออกมาถึง 16 ภาคกันแล้วแต่ก็อย่าให้จำนวนที่กล่าวไว้ในช่วงต้นบทความมาทำให้คุณกลัว เพราะเนื้อหาใน Ratchet & Clank: Rift Apart นั้นเป็นการสานต่อเรื่องราวจากเกม Ratchet & Clank ปี 2016 บนเครื่อง PlayStation 4 และเพราะ Ratchet & Clank ปี 2016 เป็นเหมือนการ Soft Reboot เล็ก ๆ ของเกมตระกูลนี้ก็ทำให้ใครที่เคยเล่นแค่เกมภาค 2016 ก็สามารถกระโดดมาสนุกกับเกมภาคนี้ได้ทันที หรือต่อให้ไม่เคยเล่น Ratchet & Clank ภาคไหน ๆ มาก่อนเลยคุณก็สามารถสนุกกับตัวเกมภาคนี้ได้เช่นกันเพราะเนื้อหาและการเล่าเรื่องนั้นอำนวยความสะดวกและต้อนรับผู้เล่นหน้าใหม่เป็นอย่างมาก (ส่วนใครที่ไม่อยากเล่นเกมภาค 2016 แต่อยากได้เนื้อหาเต็มอิ่มก็สามารถไปหาอนิเมชั่น Ratchet & Clank มาดูได้เช่นกันเพราะเนื้อเรื่องอิงจากเกมเต็ม ๆ)
ภาคนี้ Ratchet และคู่หู Clank จะต้องออกผจญภัยทะลุมิติเพื่อหาทางยับยั้งตัวร้ายประจำตระกูลเกมอย่างเจ้า Doctor Nefarious ที่ฉวยโอกาสขโมยปืน Dimensionator ซึ่ง Clank มอบเป็นของขวัญให้กับ Ratchet เพื่อให้ใช้เดินทางตามหา Lombax ตัวอื่น ๆ ที่อาจจะอยู่ต่างมิติ แต่ด้วยการต่อสู้แย่งชิงกันทำให้ตัวปืนเสียหายจนทำให้เกิดรอยแตกของมิติขึ้นไปทั่วทั้งจักรวาล ตัวของ Ratchet เองจึงพลัดหลงกับ Clank และพาให้ Clank ได้ไปโผล่ในอีกมิติหนึ่ง โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องของเกมก็เป็นเนื้อเรื่องที่เรียบง่ายมาในแนวฮีโร่ผู้กอบกู้จักรวาล แต่ส่วนที่ตัวเกมทำออกมาได้ดีมากก็คือการจ่ายบทให้ตัวละคร ตัวละครทุกตัวภายในเกมนั้นมีเสน่ห์ที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าตัวเอกของเราไปจนถึงเจ้าตัวร้ายอย่าง Doctor Nefarious โดยเฉพาะตัวละครใหม่อย่าง Rivet เผ่าพันธุ์ Lombax สาวที่ได้ร่วมมือกับ Ratchet และ Clank ในการผจญภัยครั้งนี้
เอาเป็นว่าใครที่ชอบเนื้อหาแนวอนิเมชั่นย่อยง่าย ดูสนุก มีมุกตลกให้ดูเป็นระยะ พร้อมฉากปล่อยของโชว์ความยิ่งใหญ่ด้านภาพ คุณจะสนุกสนานไปกับการเล่าเรื่องของภาคนี้ได้ไม่ยาก
Gameplay
ตัวเกมภาคนี้ก็ยังคงระบบการเล่นหลักเป็นเกมแนว Third Person Shooter ผสมกับแนว Platform เอาไว้เช่นเดิม จุดเด่นของเกมก็คือระบบการต่อสู้ที่สนุกเน้นความสามารถของอาวุธรูปแบบต่าง ๆ ที่ถูกออกแบบมาอย่างดี ใครที่ชื่นชอบเกมยิงที่ศัตรูโผล่ออกมาเยอะ ๆ และได้ใช้อาวุธรังแกเหล่าศัตรูก็จะได้เพลิดเพลินไปกับสารพัดอาวุธและอุปกรณ์ที่เราจะได้ใช้งาน ซึ่งอาวุธอุปกรณ์เหล่านี้ก็มีทั้งที่เก็บเอามาจากภาคเก่าผสมกับอาวุธใหม่ ๆ ที่ถูกออกแบบขึ้นมาในภาคนี้โดยเฉพาะ
ส่วนหลัก ๆ ของเกมก็จะเป็นการออกทำภารกิจไปตามดวงดาวต่าง ๆ แบบเป็นเส้นตรง ออกสำรวจพื้นที่เพื่อตามหา Raritanium เพื่อมาอัพเกรดอาวุธและอุปกรณ์หรือทำภารกิจย่อยที่มีให้เลือกทำในแต่ละดาว ซึ่งนอกจากการต่อสู้แล้วภายในเกมเราก็จะได้เจอกับอุปสรรคมากมายหลายรูปที่มีทั้งการไขปริศนารวมไปถึงการใช้ความสามารถด้านการบังคับตัวละครตามสไตล์เกมแนว Platform
จุดเด่นของตัวเกมภาคนี้ก็คือการเล่นกับ “มิติ” ซึ่งนอกจากเนื้อเรื่องและฉากต่าง ๆ จะโชว์เอฟเฟคของการข้ามมิติกับแบบจัดเต็ม ในส่วนของระบบการเล่นนั้นภายในฉากจะมีจุดที่มี “ประตูมิติ” ปรากฏอยู่ ซึ่งเราสามารถใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Rift Tether ในการ “วาร์ป” ไปยังจุดดังกล่าว ถือเป็นระบบตัวช่วยในการเคลื่อนที่ไปมาภายในฉากนั่นเอง น่าเสียดายที่การวาร์ปทะลุมิติล้ำ ๆ แบบนี้เป็นแค่เพียงการเคลื่อนที่ไปมาในฉากเท่านั้น ไม่ได้เป็นการล้ำขนาดโชว์วาร์ปทะลุฉากได้แต่อย่างใด ในจังหวะที่เป็นการวาร์ปผ่านฉากโชว์ศักยภาพก็จะเป็นเหตุการณ์บังคับล่วงหน้าไม่ได้เป็นอิสระหรือมีผลต่อเกมการเล่นมากเท่าที่หลายคนคาดหวัง
โดยรวมแล้วในส่วนของระบบการเล่นนั้น Ratchet & Clank: Rift Apart ก็เป็นเกมที่เรียบง่าย ผู้เล่นออกลุยไปตามฉาก จัดการศัตรู ไขปริศนา และสำรวจพื้นที่เล็ก ๆ เพื่อหาของซ่อนนำมาอัพเกรดอาวุธ อุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น แต่ถึงเราจะบอกว่ามันมีระบบการเล่นที่เรียบง่ายแต่เราก็ต้องยอมรับว่าทีมงาน Insomniac Games นั้นขัดเกลาความเรียบง่ายดังกล่าวออกมาเป็นสุดยอดผลงานชิ้นหนึ่ง ตัวเกมอัดแน่นไปด้วยไอเดียที่น่าสนใจมากมายไม่ว่าจะเป็นด้านอาวุธ ศัตรู ฉากสภาพแวดล้อมต่าง ๆ มินิเกมไขปริศนา ไปจนถึงการออกแบบส่วนของการเล่นแบบ Platform เรียกได้ว่าทุกส่วนของเกมนั้นมีการออกแบบมาเป็นอย่างดีสะท้อนความใส่ใจในเนื้องาน เปรียบเป็นอาหารที่ถึงจะเรียบง่ายแต่ก็ปรุงแบบใส่ใจและออกมาอร่อยนั่นเอง
Presentation
อีกหนึ่งส่วนของเกมที่โดดเด่นมาก ๆ และช่วยชูโรงให้เกมนี้เป็นอีกประสบการณ์การเล่นเกมที่น่าจดจำ งานด้านภาพและสีสันของเกมนั้นบอกได้เลยว่าสมศักดิ์ศรีเกมค่ายภายในของ Sony และหยิบพลังเครื่อง PlayStation 5 มาใช้แบบเต็มที่ จำนวนสิ่งของและเอฟเฟคภายในฉาก รวมไปถึงการใส่เทคโนโลยี Ray Tracing เข้ามาช่วยให้นี่กลายเป็นเกมผจญภัยภาพสวยดูสนุกตลอดทุกช่วงเวลาของเกมจริง ๆ จังหวะการตัดสลับฉากระหว่าง Cut Scene และฉาก Gameplay ก็ลื่นไหล ทีมงานยังใส่ไอเดียและโชว์ของในแทบทุกช่วงของเกมยิ่งเนื้อหาหลักของเกมนั้นเล่นกับเรื่องของมิติยิ่งทำให้การนำเสนอในแง่เนื้อเรื่องและฉากกราฟฟิกยิ่งสมบูรณ์ขึ้นไปอีก
ใครที่ชื่นชอบความบันเทิงแบบต่อเนื่องก็จะได้สนุกไปกับตัวเกมแบบ 8 ชั่วโมงเต็ม ๆ อาจจะมีบวกลบเล็กน้อยหากมีการตามเก็บของซ่อนต่าง ๆ ในดาวให้ครบ ซึ่งตัวเกมก็ใจดีเปิดโอกาสให้เราสามารถเดินทางกลับมาสำรวจด่านเก่า ๆ ได้เช่นกันในตอนท้ายของเนื้อเรื่อง นอกจากนั้นแล้วก่อนจะเข้าบอสใหญ่ ก็มีให้เก็บทุกอย่างหมดก่อนเช่นกัน
ในด้านการนำเสนอนั้นเห็นได้ชัดว่าทีมงาน Imsomniac ได้ไอเดียหลายอย่างจากเกมที่ผ่านมาของทีมไม่ว่าจะเป็น Sunset Overdrive หรือ Spider-Man ไม่ว่าจะเป็นด้านการเล่าเรื่องหรือด้านของระบบการเล่น ใครที่เคยชื่นชอบกับผลงานที่ผ่านมาของทีม Imsomniac ก็จะได้เห็นพัฒนาการอีกขั้นของทีมในผลงานชิ้นนี้
Performance
ในฐานะเกมชูโรงชุดแรกบนเครื่อง PlayStation 5 ตัวเกม Ratchet & Clank: Rift Apart ก็ใส่เทคโนโลยีด้านภาพและเสียงมาแบบจัดเต็ม ไล่กันไปตั้งแต่ภาพแบบ 4K มี HDR ใส่เทคโนโลยี Ray Tracing มี 3D spatial audio ถ้าหากคุณมีทีวีดี ๆ พร้อมกับหูฟังและชุดเครื่องเสียงที่รองรับคุณจะได้เห็นศักยภาพแบบเต็ม ๆ ของเครื่อง PlayStation 5 จากเกม ๆ นี้ ด้าน แสง สี เสียง นั้นมอบความบันเทิงทางสายตาและใบหูแบบเต็มที่ ตัวจอย DualSense ก็ใช้ลูกเล่นผนวกไปกับตัวเกมเช่นกัน ในส่วนของการสั่นที่จำลองสถานการณ์ภายในเกมหรือตัว Adaptive Trigger ที่ใช้เป็นการเลือกโหมดการยิงของอาวุธบางชิ้นแน่นอนว่าภาพที่สวยงามเปิดสุดก็ต้องแลกมาด้วย Framerate และอาการดีเลย์ที่ถือเป็นปัญหาจุดหนึ่งของเกม ในตัวเกมฉบับ Day 0 ที่เราได้เล่นนั้นไม่มีโหมด Performance Mode และ Performance RT ให้เลือกเปิดทำให้การแสดงผลของเกมเป็นแบบ Fidelity หรือแบบ 4k 30fps มี Ray tracing หรือเป็นโหมดจัดเต็มด้านภาพนั่นเอง ซึ่งที่การเล่นแบบ 30 FPS นั้นตัวเกมมีอาการหน่วงในส่วนของการบังคับอย่างชัดเจนและก็มีบางครั้งที่ FPS ของเกมหล่นต่ำลงไปกว่า 30 ทำให้ช่วงแรกของการเล่นต้องอาศัยการปรับตัวในด้านการบังคับอยู่เช่นกัน
ข่าวดีก็คือทีมงาน Insomniac ยืนยันออกมาแล้วว่าตัวเกมจะมีการปล่อยโหมด Performance Mode และ Performance RT ออกมาให้โหลดใน Patch แบบ Day 1 ส่งผลให้ตัวเกมจะรองรับโหมดการแสดงผล 3 โหมด ให้ผู้เล่นเลือกปรับตามความต้องการ ได้แก่
- Fidelity แสดงผลภาพ 4k 30fps มี Ray tracing
- Performance แสดงผลภาพแบบ 4k 60fps ไม่มี Ray tracing
- Performance RT แสดงผลภาพแบบ 4k dynamic (ปรับลดความละเอียดภาพอัตโนมัติ) 60fps มี Ray tracing
ซึ่งโหมดที่น่าจะเป็นพระเอกของงานนี้เลยก็คือโหมด Performance RT นี่เอง
ส่วนเรื่องของบัคนั้นในระหว่างเราเล่นก็พบบัคอยู่หลายจุด ทั้งส่วนของการที่ศัตรูไม่ยอม Spawn และเดินมาให้เราสู้ หรือจุดที่เราหาทางไปต่อไม่เจอจนต้องโหลดเกมใหม่จึงจะผ่านไปได้ และปัญหาบัคในการแสดงผลในบางฉากบางคัทซีน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก็น่าจะได้รับการแก้ไขใน Day 1 Patch เช่นกัน
สรุป
สรุป
นี่จัดเป็นผลงานเกมชิ้นเยี่ยมอีกชิ้นจากทีมงาน Insomniac โดยเฉพาะใครที่กำลังมองหาเกมที่ “สนุก” จบในตัว เป็นประสบการณ์แบบเต็มอิ่มไม่มีค้างคา ด้วยอาวุธที่หลากหลาย การพัฒนาหลายจุดจากตัวเกมภาคเก่า รวมไปถึงไอเดียใหม่ ๆ ที่ใส่เข้ามาช่วยส่งให้ Ratchet & Clank น่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งตระกูลเกมที่ผู้เล่นจับตามองหลังจากนี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดของเกมตระกูลนี้อย่างแท้จริง
Ratchet & Clank: Rift Apart คือเกมผจญภัยที่ออกแบบมาตามสูตรสำเร็จ มันมีระบบการต่อสู้ที่สนุก อาวุธที่หลากหลาย ฉากที่ยิ่งใหญ่มากมายให้รับชม แม้ว่านี่อาจจะไม่ใช่เกม Open World ฟอร์มยักษ์ เป็นเกมเนื้อหาสุดลึกที่มายกระดับปฏิวัติวงการ แต่บางครั้งเกมที่สนุกเรียบง่ายและลงตัวก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นเกมชั้นดีที่หลายคนต้องการ
8.5/10
ข้อดี
- ระบบการเล่นเรียบง่าย สนุก เพลิดเพลิน
- อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีด้านภาพและเสียงโชว์พลัง PlayStation 5 แบบเต็มที่
- ตัวละครมีเสน่ห์นำเสนอเนื้อหาได้อย่างดีเยี่ยมน่าสนใจ
ข้อด้อย
- มีบัคให้พบเห็นอยู่บ้างประปรายระหว่างการเล่น
- ขาดตัวเลือกด้านการอัพเกรดและพัฒนาตัวละครที่หลากหลาย
- มีปัญหาด้านมุมกล้องในการเล่นบางจุด