หูฟัง Wireless จากทาง Razer รุ่นเริ่มต้นของซีรีส์ OPUS นั่นคือ Razer OPUS X ที่เราได้มาในวันนี้ อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Bluetooth 5.0 , Active Noise Canceling , ความดีเลย์ของเสียงหรือ Latency ของตัวหูฟังมีค่าอยู่ที่ 60 ms มาพร้อมกับรูปลักษณ์สไตล์มินิมอล เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะทำงาน , เล่นเกม หรือฟังเพลง แถมยังพกพาสะดวกอีกด้วย
สเปกพื้นฐานของ Razer OPUS X
- Dynamic Driver 40 mm
- น้ำหนักตัว 270 กรัม
- เทคโนโลยี ANC : Active Noise Canceling
- Bluetooth 5.0
- มีไมโครโฟนให้ในตัว
- รองรับความถี่ตั้งแต่ 20 – 2000 Hz
- Low Latency 60 ms เมื่อเปิด Game Mode
- ใช้งานได้ 30 ชั่วโมงต่อเนื่อง (40 ชั่วโมงหากปิด ANC)
- รองรับการชาร์จด้วย USB – C
- ระยะการสื่อสารสูงสุด 10 เมตร
- สั่งการด้วยปุ่มกด
ของที่ให้มาในกล่องทั้งหมด : คู่มือ , หูฟัง , สติ๊กเกอร์ Razer และสายชาร์จตัวเครื่อง
ดีไซน์
การออกแบบและรูปลักษณ์ของ Razer OPUS X ตัวนี้มีความมินิมอล ไม่โดดเด่นจนเกินไป การครอบหูฟังทำได้ง่าย หูฟังมีน้ำหนักเบา เหมาะกับการพกพาเพื่อใช้งานข้างนอก ตัวโฟมมีโฟมสำหรับครอบหูและมีการหุ้มโฟมด้วยหนังที่ให้สัมผัสนุ่ม สวมใส่สบาย รวมไปถึงโฟมรองหัวที่นุ่มเช่นกัน ผิวสัมผัสของตัวหูฟังเป็นแบบด้าน ทำให้หยิบจับได้สะดวก แต่ก็ต้องระวังเหงื่อมือหรือมือที่เปื้อนน้ำเพราะอาจจะทำให้ลื่นได้หากเอามือที่เปื้อนมาจับตัวหูฟัง
ตัวหูฟังจะประกอบไปด้วยปุ่มและช่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นปุ่มเพิ่มเสียง , ปุ่มสำหรับสั่งการ , ปุ่มลดเสียง , ไฟแสดงสถานะ , ปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง , ช่องไมโครโฟนและช่อง USB – C สำหรับการชาร์จตัวหูฟัง
จากซ้ายไปขวา : ปุ่มเพิ่มเสียง , ปุ่มสำหรับสั่งการ , ปุ่มลดเสียง , ไฟแสดงสถานะ และปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง
เราสามารถปรับขนาดตัวหูฟังให้เข้ากับหัวของเราได้โดยการปรับขาของหูฟังให้มีขนาดกว้างมากขึ้นได้ ตัวเครื่องนอกจากจะมีสีเขียวซึ่งเป็นเหมือนสีประจำแบรนด์ Razer แล้ว ยังมีสีขาวและชมพูให้เราได้เลือกกันอีกด้วย
ฟีเจอร์ต่างๆและการใช้งาน
หูฟัง Razer OPUS X สามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรือมือถือของเราได้ง่าย โดยการกดปุ่มเปิดเครื่องค้างไว้ 2 วินาที ตัวเครื่องก็จะเปิดพร้อมทั้งเสียงในหูฟังว่า “Pairing” และไฟสถานะสีเขียว นั่นหมายถึงว่า เราต้องเปิดเครื่องแล้วทำการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth ในคอมพิวเตอร์หรือมือถือของเรา และเมื่อเราเชื่อมต่อเรียบร้อย ไฟสถานะก็จะเปลี่ยนเป็นสีฟ้า สำหรับการใช้งานบนมือถือหรือแท็บเล็ตเราสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Razer Audio เพื่อใช้ในการปรับแต่งเสียงในโหมดต่างๆ เช่น เน้นเบส , เน้นเสียงร้อง หรือเน้นเสียงที่ให้รายละเอียดที่ชัดเจน
ไฟสถานะสีฟ้าและสีเขียวที่บอกถึงสถานะการเชื่อมต่อหูฟังกับอุปกรณ์อื่น
การใช้งานทั่วไปก็ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว สำหรับระดับเสียงที่เราแนะนำเพื่อให้ได้อรรถรสในการฟังคือมากกว่า 70 เพราะถ้าเสียงเบากว่านั้นจะทำให้ไม่ได้ยินเสียงเบสหรือเสียงต่ำ โดยเราสามารถใช้งานปุ่มต่างๆในการควบคุมเสียงและการเล่นเพลงหรือวิดีโอได้ ไม่ว่าจะเป็นปุ่มเพิ่ม – ลดเสียงที่นอกจากจะสามารถกดเพื่อเพิ่ม/ลดเสียงได้แล้ว ยังสามารถกดค้างเพื่อทำการเพิ่ม/ลดเสียงแบบต่อเนื่องได้อีกด้วย ส่วนปุ่มสำหรับสั่งการก็มีลูกเล่นที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับการกดของเรา เช่น กด 1 ครั้งเพื่อเล่นหรือหยุดวิดีโอหรือเพลงหรือรับและวางสายก็ทำได้เช่นกัน
ฟีเจอร์ที่โดดเด่นของตัวหูฟัง OPUS X ก็คือฟีเจอร์ ANC หรือ Active Noise Canceling ที่สามารถตัดเสียงรบกวนภายนอกได้โดยการกดปุ่มเปิดเครื่อง การกด 1 ครั้งก็จะเป็นการเปิด ANC คุณภาพเสียงเมื่อเปิด ANC ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว สามารถลดเสียงรบกวนภายนอกได้จนเกือบจะไม่ได้ยิน เมื่อเรากดปุ่มเปิดเครื่องครั้งที่ 2 ก็จะเป็นการเปิดโหมด Ambien ที่จะดึงเสียงภายนอกเข้ามาในหูฟัง โหมดนี้จะช่วยให้เราสามารถฟังเพลงหรือเล่นเกมและสามารถได้ยินเพื่อนคุยกันได้โดยไม่ต้องถอดหูฟัง แต่ถ้าเปิดโหมด Ambien แนะนำให้เปิดเสียงในเกมหรือเพลงเบากว่า 30 เพราะการเปิดเสียงดังกว่านั้น โหมด Ambien อาจจะไม่ช่วยให้เราได้ยินเสียงภายนอกเท่าไหร่ และการกดปุ่มเปิดเครื่องครั้งที่ 3 ก็จะเป็นการปิดโหมด ANC นั่นเอง
ไมค์บนตัวเครื่องสำหรับการดึงเสียงหรือช่วยตัดเสียงภายนอกที่เข้ามาในตัวหูฟัง
ส่วนของการเล่นเกม ด้วยการที่ Razer ให้ Game Mode มาที่ช่วยให้การดีเลย์ของเสียงมีค่าลดลงจนเกือบจะเทียบเท่ากับการใช้หูฟังสายปกติ โดยมีความหน่วงของสัญญาณเพียง 60 ms ซึ่งถือว่าน้อยมาก วิธีการเปิด Game Mode ให้เรากดปุ่มสั่งการค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นก็จะมีเสียงดังเข้ามาในหูฟังว่า “ Gaming Mode ” ก็จะเป็นการเปิดโหมดเกมแล้ว และ Game Mode ยังช่วยให้รายละเอียดของเสียงที่เราได้ยินภายในเกมชัดเจนขึ้น แยกรายละเอียดของเสียงและทิศทางของเสียงได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับความอึดของแบตเตอรี่ก็ต้องบอกเลยว่าทำได้ดีเลยทีเดียว เพราะตัวหูฟัง Razer OPUS X สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 30 ชั่วโมง และ 40 ชั่วโมงหากปิด ANC โดยเราสามารถดูสถานะของแบตเตอรี่ได้จากไฟบอกสถานะ ถ้าไฟสถานะเป็นสีส้ม นั่นหมายถึงแบตเตอรี่เหลือน้อย อาจจะใช้งานได้ไม่ถึง 1 ชั่วโมง และถ้าไฟสถานะเปลี่ยนเป็นสีแดง ก็แสดงว่าแบตเตอรี่ใกล้หมด ให้รีบชาร์จไฟเข้าหูฟังโดยเร็วที่สุด เมื่อเราชาร์จไฟเรียบร้อยแล้ว ไฟสถานะก็จะกลับขึ้นมาเป็นสีเขียวอีกครั้งนั่นเอง
ข้อสังเกต
ด้วยราคาของหูฟังตัวนี้ 3,890 บาท ทำให้มีคู่แข่งในเรทราคาเดียวกันหลายตัว และถ้าใครที่อยากได้คุณภาพเสียงที่เน้นการฟังเพลงเป็นหลัก ตัวนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์ เพราะการออกแบบที่เน้นใช้งานได้ง่าย , ใช้งานได้หลากหลายอุปกรณ์ เน้นพกพาสะดวก และถ้าใครซื้อไปใช้กับคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กเป็นหลัก ก็ไม่สามารถปรับแต่งเสียงเหมือนการใช้งานบนมือถือหรือแท็บเล็ต เพราะไม่มีโปรแกรมรองรับ
สำหรับใครที่สนใจตัวหูฟัง Razer OPUS X ตัวนี้ก็สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมกันได้ที่
https://www.razer.com/mobile-headsets/razer-opus-x/RZ04-03760400-R3U1
ข้อดี
- พกพาสะดวก
- ใช้งานได้หลายอุปกรณ์
- น้ำหนักเบา
- คุณภาพเสียงชัดเจน
- อายุการใช้งานยาวนาน
- มี Active Noise Canceling
- มี Gamo Mode
ข้อเสีย
- วัสดุไม่ค่อยแข็งแรง
- ไม่มีโปรแกรมรองรับบน Windows
- ไม่เหมาะกับคนที่อยากซื้อไปฟังเพลงโดยเฉพาะ