เชื่อว่าเพื่อน ๆ ผู้อ่านชาว GamingDose ของเราน่าจะคุ้นเคยกับเกมซีรีส์ Resident Evil กันเป็นอย่างดี ซึ่งในยุคนั้นเรียกว่ามีเกมสยองขวัญออกวางจำหน่ายตามมาเป็นขบวนหลังจากการมาของซีรีส์นี้ บ้างก็ตายจากไป บ้างก็ยังพอเอาตัวรอดได้แต่ก็หายไปในเวลาต่อมา แต่ก็ยังมีอีกซีรีส์หนึ่งที่ออกตามมาและสร้างปรากฏการณ์ให้กับเกมสยองขวัญในยุค Playstation อย่างยิ่ง ก็คงจะเป็นเกมไหนไปไม่ได้นอกจาก Silent Hill นั่นเองครับ
ซึ่งอย่างที่บอกไปว่าในปี 1996 นั้นความสำเร็จของ Resident Evil เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เหล่าเกมเมอร์หันมาสนใจเกมสยองขวัญมากขึ้นอย่างเป็นปรากฏการณ์ และทาง Konami เองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้เริ่มพัฒนาเกมสยองขวัญของตัวเองขึ้นมา จากการรวมตัวของทีมงานขึ้นมาในชื่อว่า Project Silent เพื่อพัฒนาเกมที่ให้บรรยากาศสยองขวัญในสไตล์หนัง Hollywood แต่เนื่องจากมีปัญหาเกิดขึ้นหลายต่อหลายอย่าง เช่นทางทีมงานไม่รู้ว่าจะนำพาการสร้าง Silent Hill ให้ไปสู่จุดไหนกันแน่ ทำให้ทีมงานชุดเดิมต้องออกจาก Konami ไป จนสุดท้ายก็ต้องมาเริ่มคิดกันใหม่ว่าจะพัฒนาเกมไปในทางไหน
โดยคราวนี้ทีมงานได้วาง concept ของเกมเอาไว้ว่าต้องมีความกลัวในแบบ “กลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก” ทำให้ผู้เล่นต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่เคยเจอ ทั้งจากความมืดมิดและความขุ่นมัว แม้ทีมงานชุดใหม่ส่วนใหญ่จะไม่มีประสบการณ์กับเกมแนวสยองขวัญมาก่อนแต่ก็พยายามกันอย่างเต็มที่ โดยตัวเกมได้อิทธิพลมาจากภาพยนตร์ของผู้กำกับดัง David Lynch รวมไปถึงเรื่องของความเชื่อ ลัทธิและสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว หลังจากที่พัฒนากันมาอย่างยาวนานกว่าสามปี ผ่านการหล่อหลอมและเกิดอุปสรรคมากมายระหว่างการพัฒนา ในที่สุด Silent Hill ภาคแรกก็ได้ฤกษ์วางจำหน่ายในวันที่ 31 มกราคม ที่อเมริกา ก่อนที่จะตามมาในญี่ปุ่นในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน
Silent Hill เป็นเรื่องราวของ Harry Mason พ่อม่ายเมียตายที่พาลูกสาว Cheryl ออกเดินทางเพื่อมาพักผ่อนในวันหยุดที่เมือง Silent Hill เมืองที่เขากับภรรยามีความหลังร่วมกัน แต่ในระหว่างทางก็ได้ประสบอุบัติเหตุจนหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาก็พบว่าลูกสาวของเขาหายตัวไป เขาจึงต้องออกตามหาลูกสาวของเขาท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบและความมืดมิด พร้อมกับต้องเอาตัวรอดจากสิ่งลึกลับที่เข้ามาเอาชีวิตเขาไปให้ได้
ซึ่งจากพลอตของเกมที่เราได้ทราบในตอนแรกนั้น Silent Hill จัดเป็นเกมแนว Survival Horror ตามมาตรฐานที่หาได้ทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้มันแตกต่างจากเกมแนวเดียวกันในยุคนั้นคือบรรยากาศของเกมที่ต่างออกไป มันไม่ได้มีแค่ความมืดที่น่าขนลุกเท่านั้น แต่บรรยากาศมวลรวมอื่น ๆ เช่นในเมืองที่เต็มไปด้วยหมอกหนา พวกศัตรูที่ถูกออกแบบมาอย่างน่ากลัวและน่าขนลุกสุด ๆ และที่โดดเด่นมากก็คือเสียง ทั้ง Sound Effect เพลงประกอบ และเสียงโหยหวนของศัตรูสร้างความกดดันและน่ากลัวให้กับผู้เล่นมากเหลือเกิน คนที่เคยเล่นน่าจะจดจำกันได้ว่าในภาคแรกนั้นเวลาที่เสียงวิทยุดังขึ้นนั้นระทึกขนาดไหน เพราะมันหมายถึงพวกศัตรูที่อยู่ใกล้ ๆ ตัวเรานั้นเอง ซึ่งตรงจุดนี้ต้องชมฝีมือของคุณ Akira Yamaoka ผู้ประพันธ์เพลงในภาคนี้ที่แต่งเพลงที่หลอนทั้งจังหวะ ทำนอง และหลังจากนั้นเขาก็ยังสร้างผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องให้เกมซีรีส์นี้ในฐานะโปรดิวเซอร์ในเวลาต่อมาอีกหลายภาค
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Silent Hill น่าสนใจก็คือความเปิดกว้างของตัวเกม แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องของมุมกล้องที่ติดขัดไปบ้าง แต่เกมก็เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ออกตำรวจตัวเมืองได้อย่างเต็มที่ และยิ่งสำรวจ ผู้เล่นกะมีของทั้งยาและกระสุนเพิ่มมากขึ้นด้วย ปริศนาในเกมที่โดดเด่นและต้องใช้การตีความมากกว่าเกมอื่น รวมไปถึงเนื้อเรื่องที่เกี่ยวพันกับความรู้สึกผิดบาปในใจ ลัทธิประหลาดและสิ่งที่มาจากมิติอื่น ทำให้มันกลายเป็นเกมสยองขวัญในใจใครหลายคนไปโดยปริยาย
Silent Hill ยังคงมีภาคต่อออกมาอีกหลายภาค และไม่ได้มีแค่ภาคหลักที่ลงในเครื่องตามบ้านเท่านั้น ยังมีเกมยิงปืนแบบอาร์เคดมาให้เล่นอีกด้วย แต่ภาคที่ดีที่สุดอย่างภาคสองนั้นช่วยเสริมความนิยมของตัวเกมขึ้นไปอีกขั้นจากมิติของตัวละครที่มากขึ้น ตัวเกมมีความน่ากลัวมากขึ้นจากกราฟฟิกที่พัฒนามากขึ้นจากเดิมบนระบบ Playstation 2 และยังเพิ่มศัตรูที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเกมอย่าง Pyramid Head ให้ผู้เล่นได้เจออีกด้วย แต่น่าเสียดายที่หลังจากภาคที่สามเป็นต้นมา ความเจ๋งของ Silent Hill ก็ลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งน่าเสียดายอย่างมาก ทั้งที่ในหลายภาคนั้นนำเสนอประเด็นที่น่าสนใจ แต่กลับมาติดขัดในเรื่องของระบบการเล่นที่ขัดใจมากกว่าเก่า จนทำให้หลายคนผิดหวังมาก และที่น่าเสียดายที่สุดคือโปรเจค Silent Hill ภาคใหม่ที่พัฒนาโดย Hideo Kojima นั้นได้ถูกยกเลิกไปด้วยข้อครหามากมาย ทั้ง ๆ ที่โปรเจคนี้ได้ศิลปินและทีมงานระดับมืออาชีพมาร่วมงานมากมาย ทั้ง Junji Ito นักเขียนการ์ตูนสยองขวัญชื่อดังมาช่วยออกแบบงานศิลป์ในเกม หรือหระทั้ง Norman Reedus นักแสดงชื่อดังจากซีรีส์ The Walking Dead มาร่วมแสงด้วย แต่ทุกอย่างก็สลายหายไปในที่สุด และยังคงเป็นรอยแผลในใจเกมเมอร์ทั่วโลกจนทุกวันนี้
กระนั้นพวกเราก็ยังไม่สามารถลืมได้ว่า Silent Hill ได้นำเสนอแนวทางใหม่ให้กับเกมสยองขวัญให้มีความหลากหลายมากขึ้นไม่ใช่แค่แนวซอมบี้เพียงอย่างเดียว เกิดการต่อยอดออกไปอีกยิ่งกว่าเก่า แม้เราจะหวังให้ซีรีส์นี้กลับมาได้ยากเหลือเกินก็ตามครับ