พูดถึง Nintendo เราคงนึกถึง Mario
แล้วถ้าพูดถึง SEGA ล่ะ เราจะนึกถึงอะไร?
Sonic เม่นสายฟ้าเป็นมาสค็อตที่อยู่ยั่งยืนยงคู่ SEGA มาอย่างยาวนาน จนตอนนี้ก็กำลังจะมีภาพยนตร์เป็นของตัวเอง แถมยังได้ไปตีซี้คู่กับ Mario จาก Nintendo ลงเกมกีฬาต้อนรับงานโอลิมปิคอีก
แต่ก่อน Sonic จะคลอดมาชนกับ Mario จนกลายเป็นคู่แข่งตลอดกาล SEGA เองก็ลำบากลำบนเพื่อพัฒนาเจ้าเม่นสายฟ้าตัวนี้ใช่ย่อย ทุกรายละเอียดและการโปรโมต (หรือเรียกว่าหากินก็คงไม่ผิด) ในตัว Sonic ต่างเต็มไปด้วยความแยบยลที่น่าจับตามอง เราเลยอยากชวนส่องดูเรื่องราว ว่าเจ้าเม่นตัวนี้กลายมาเป็นไพ่ตายของ SEGA และคู่แข่งตัวฉกาจของ Mario มาจนทุกวันนี้ได้ยังไง
Alex Kidd กับความหวังที่โรยราของ SEGA
ในช่วงปี 1986 ก่อนจะมี Sonic ทาง SEGA เคยมีมาสค็อตของตัวเองอยู่แล้ว นั่นคือ Alex Kidd เด็กชายยอดมนุษย์ในชุดแดงเหลือง ซึ่งทาง SEGA ก็ลงทุนไปมากกับตัวละครตัวนี้ ทั้งทำเกม ทำการ์ตูน นี่อาจฟังดูเป็นช่วงรุ่งของ SEGA แต่เปล่าเลย พวกเขาเจอตออันใหญ่ขวางทางอยู่
นั่นคือ Mario จาก Nintendo
ในขณะนั้นเอง Nintendo ก็กำลังรุ่งสุด ๆ เพราะ Super Mario Bros. เพิ่งวางขายไปในปี 1985 และยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 1990 SEGA ถึงได้เริ่มเห็นเค้าลางไม่เข้าท่า พวกเขาตัดสินใจหารือกันอีกครั้งว่าจะเอายังไงกับ Alex Kidd ต่อ
ตอนนั้นเอง Sega Genesis ซึ่งเป็นเครื่องคอนโซลสุดยอดขุมพลังของ SEGA ก็กำลังขายดิบขายดี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำ SEGA ครองตลาดเกมได้ เพราะทาง Nintendo เพิ่งปล่อย Super Mario Bros. 3 ซึ่งขายดีระดับติดอันดับในประวัติศาสตร์
‘ถ้าอยากชน Nintendo เราควรมีซีรี่ส์และมาสค็อตที่เป็นที่จดจำของตัวเอง’ คือการตัดสินใจของ Hayao Nakayama ประธาน SEGA สาขาญี่ปุ่น
เพื่อตอบสนองการตัดสินใจครั้งนี้ ทาง SEGA จึงริเริ่มโปรเจคต์ใหม่ ที่จะกลายเป็นทั้งมาสค็อตและเกมที่จะรีดเร้นพลังของ Sega Genesis ออกมาอย่างหมดจด พวกเขาเก็บ Alex Kidd เข้าหน้าประวัติศาสตร์ และเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
การเริ่มต้นใหม่เพื่อไปให้ไกลกว่า Nintendo
กำเนิด Sonic เม่นสายฟ้า
หลังการตัดสินใจเล่นใหญ่ของ Hayao Nakayama ทีม SEGA ก็กระจายงานกันออกไป และกลายเป็นการเล่นใหญ่ยิ่งกว่าเพื่อออกแบบมาสค็อตตัวใหม่
เริ่มตั้งแต่จะเอามาสค็อตเป็นตัวอะไร หมา แมว กระต่าย หนู? ไม่ ต้องแปลกกว่านั้นเพื่อสร้างการจดจำและความแปลกใหม่
หวยเลยออกที่ ‘เม่น’
จริง ๆ แล้ว ทีมออกแบบตัวละครก็ออกแบบมนุษย์นักวิทยาศาสตร์ Dr. Eggman ไว้เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งมาสค็อตด้วยเช่นกัน ก่อนทีมงานจะตัดสินใจใช้เจ้าเม่นดีกว่า และเอา Dr. Eggman มาเป็นตัวร้าย (ราวกับว่าจะกลับมาแย่งซีนเด่นก็ว่าได้)
ต่อมาคือเรื่องสี Alex Kidd เป็นผลงานที่พลาดเรื่องสีอย่างแรง เพราะดันเป็นเด็กผู้ชายและใช้ชุดสีแดงคล้ายกันกับ Mario เป๊ะ ทำให้ดูกลืน ๆ กันไป ไม่โดดเด่นพอ
เพื่อให้แตกต่างจาก Mario และสื่อสารความเป็น SEGA ทีมงานเลยจับเม่นตัวนี้ระบายสีฟ้าโคบอลต์ซะเลย เพราะสีฟ้าโคบอลต์นี้คือสีโลโก้ของ SEGA นั่นเอง และจับใส่รองเท้าสีแดงซึ่งเป็นคู่สีตรงข้าม ทีมงานบอกว่าดีไซน์รองเท้าได้รับแรงบันดาลใจรองเท้าของไมเคิล แจ๊คสัน และสีแดงนี้ก็มาจากปกอัลบั้ม Bad ยิ่งเสริมความโดดเด่นให้ตัวละครตัวนี้เข้าไปอีก
และสุดท้ายเม่นตัวนี้ต้อง “gotta go fast”
ทั้งนี้ เพื่อแสดงพลังของเครื่อง Sega Genesis และใช้ลักษณะของเม่นที่ม้วนตัวได้ให้เป็นประโยชน์ กลายเป็นเม่นสายฟ้าที่ม้วนตัวเป็นลูกบอลพุ่งชนทุกอย่างได้ แล้วชื่อไหนล่ะจะเหมาะกับสัญลักษณ์แห่งความเร็วเท่าคำว่า ‘Sonic’ หรือ ‘ความเร็วเสียง’
แต่แค่การออกแบบยังไม่พอ การตลาดก็ต้องควบคู่ไปด้วย เพราะทาง SEGA อเมริกาไม่มั่นใจเลยว่า Sonic ตัวนี้จะขายออก พวกเขาเลยแปะเกม Sonic แถมเครื่อง Sega Genesis ไปด้วย
หลังจากทำการบ้านกันอย่างยาวนาน ด้วยสไตล์ตัวละครที่โดดเด่นและสไตล์เกมที่เน้นความเร็ว Sonic the Hedgehog ภาคแรกก็ตีตลาดอเมริกาเปรี้ยงปร้าง ผิดจากที่กลัวว่าจะขายไม่ออก ทำให้ SEGA ครองส่วนแบ่งการตลาดไปถึง 65% เอาชนะ Nintendo ไปได้อย่างสวยงาม
คู่ปรับตลอดกาล คู่หูตลอดไป
หลังจากชนะน็อค Mario ไป Sonic ก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนมีทั้งการ์ตูน เกมภาคต่อ ๆ มา เพื่อนพ้องมากมายที่ออกแบบได้โฉบเฉี่ยว และตอนนี้ก็มีหนังเป็นของตัวเอง (และมีคนรักใคร่มากมายจนประท้วงให้เปลี่ยนหน้าตา Sonic ในหนัง) ทำให้ Sonic เคยได้รับรางวัลจาก Guinness World Records ให้เป็นเกมที่ทรงอิทธิพลที่สุดบนเครื่องเกมของ SEGA และเป็นการ์ตูนจากเกมที่ดำเนินเนื้อเรื่องมายาวนานที่สุด
แต่หากดูจากความก้าวหน้าแล้ว ถือว่า Sonic ไม่สามารถรักษาตำแหน่งเจ้าตลาดเกมไว้ได้เลย และไม่ว่าจะท้าชิงอีกกี่ครั้ง ก็ยังแพ้ Nintendo อยู่ดี เพราะตัวเกมยุคหลัง ๆ ดูจะมุ่งเน้นที่ระบบภาพ 3D มากเกินไป รวมถึงระบบการเล่นและเนื้อหาที่ไม่ประสบความสำเร็จนัก
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของ SEGA กลับดูมีคุณค่าต่อ Nintendo ไม่ใช่น้อย เพราะในปี 2007 ในที่สุดคู่หูคู่ปรับ Mario และ Sonic ก็ได้ร่วมหัวจมท้ายกันในเกมแข่งกีฬาโอลิมปิค นับเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์เกมที่ 2 มาสค็อตคู่ปรับมาจับมือกัน และเกมกีฬาโอลิมปิคระหว่าง Mario และ Sonic ก็ยังคงมีภาคต่อ ๆ มาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้ ทาง Nintendo ยังเคยแวะเวียนไปร่วมผลิตเกม Sonic ให้ทาง SEGA ด้วย เกิดเป็นเกม Sonic Lost World ในปี 2013 บนเครื่อง Wii U
และทั้งหมดนี้คือประวัติโดยสังเขปของ Sonic เจ้าเม่นสายฟ้า หมัดไม้ตายของ SEGA ที่ครั้งหนึ่งเคยล้มแชมป์ Nintendo ลงได้ จนปัจจุบันนี้ แม้ Sonic จะไม่ได้ฉายแววโดดเด่นในวงการเกมอย่างเก่าเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีเกมตระกูลนี้ออกมาให้ลองเล่นกันเรื่อย ๆ ถ้าใครอยากหวนรำลึกถึง Sonic ก็ยังหาเล่นกันได้เสมอ