เกมยิงที่มี “เนื้อเรื่อง” ยอดเยี่ยมอันดับต้น ๆ ของวงการเกม แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
สารภาพตามตรงว่าผู้เขียนเป็นคนที่ไม่ชอบเล่นเกมประเภท Shooting เป็นอย่างมาก ตั้งแต่เกิดมาเผชิญโลกได้ 20 ปี เกมแนวนี้เป็นเกมแนวเดียวที่เล่นยังไงก็เล่นไม่เก่ง ก็เลยพาลไม่ชอบเกมยิงไปเสียอย่างนั้น พอไม่ชอบก็เลยตั้งแง่หลายอย่างกับเกมแนวนี้ เริ่มจากเนื้อเรื่องก่อนเลย ผู้เขียนมี Mindset ที่น่ารำคาญอยู่อย่างหนึ่ง คือจะชอบคิดว่าถ้าคุณทำเกมยิง เนื้อเรื่องเกมนั้นต้องห่วยทันที เพราะเกมยิงที่เคยเล่นทั้งหมดในชีวิต มีแต่เกมที่ห่วยแตกทั้งนั้น (ผู้เขียนไม่เคยเล่น Call of Duty ไม่เคยเล่น Half Life และเล่นไม่ได้แน่ ๆ เพราะเป็น Motion Sickness) ผู้เขียนคิดว่าเกมพวกนี้คือเล่นเอามัน เล่นยิง ๆ ฆ่ากันให้ตาย ไม่ค่อยจะเน้นเนื้อหาเท่าไหร่ ผู้เขียนก็เลยไม่ยอมเล่นเกมยิงสักเกม ไม่ว่ามันจะดีแค่ไหนก็ตาม
แต่พอเข้าปี 2012 ในช่วงนั้นผู้เขียนได้รับของขวัญเป็น Xbox 360 จากผู้ปกครอง ซึ่งไอ้เจ้า Xbox 360 เนี่ย ช่วงนั้นมันถูกเคลมว่าสามารถเล่นเกมประเภท Shooting ได้ดีกว่า PS3 ผู้เขียนก็เลยอยากลองทดสอบดู แต่ด้วยความที่เป็น Motion Sickness ก็เลยหลีกเลี่ยงประเภท FPS ทั้งหมด ตอนแรกหยิบ Gear of War มาเล่น แต่ก็ทนความทื่อของเนื้อเรื่องไม่ได้ ก็เลยหาเกมเล่นไปเรื่อย ๆ จนมาเจอกับ “Spec Ops: The Line” เกมที่เราจะมาพูดถึงกันในบทความนี้
Spec Ops: The Line คืออะไร ?
Spec Ops: The Line คือเกม TPS จาก Yager Development สตูดิโอพัฒนาเกมประเทศเยอรมนี ก่อนที่จะพัฒนาเกมนี้ พวกเขาโด่งดังกับเกมที่ชื่อว่า Yager เกมยิงยานในเครื่อง Xbox Classic มาก่อน ทั้งสองเกมนี้จำหน่ายโดย 2K Games ผู้จัดจำหน่ายเกมรายใหญ่ในตอนนั้น เกมนี้ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้น Heart of Darkness (หฤทัยแห่งอันธการ) ของ Joseph Conrad นักเขียนชาวโปแลนด์-อังกฤษ เนื้อหาในเรื่องสั้นกล่าวถึงสัญชาติญาณดิบของมนุษย์ ตัวละครหลักของเรื่องสั้นคือตัวเขาเอง ที่เดินทางจากทวีปอเมริกาใต้ไปที่ทวีปแอฟริกาโดยเรือ ในตอนนี้เขาเดินทางไป เขาคิดว่าแอฟริกาจะเป็นแดนสวรรค์ของเขา แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือนรกที่จะเปลี่ยนมุมมองของเขาไปตลอดกาล เรื่องสั้นเรื่องนี้เคยถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Apocalypse Now ด้วย
อธิบายเรื่อง Apocalypse Now นิดนึง หนังเรื่องนี้เป็นหนังรางวัลออสการ์ที่กำกับโดย Francis Ford Coppola ผู้กำกับสุดเทพที่เคยฝากผลงานตำนานภาพยนตร์อย่าง The Godfather เอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ หนังเรื่องนี้เนื้อหาจะนำเสนอคล้าย Heart of Darkness แต่จะแฝงมุมมองศาสนาเข้าไปด้วย ใครที่ยังไม่ได้ดูแนะนำให้ดู เพราะเป็นหนังที่ดีมาก ๆ
ถ้าใครที่เคยอ่าน Heart of Darkness หรือเคยดู Apocalypse Now ก็น่าจะเข้าใจพล็อตเรื่องของ Spec Ops: The Line แบบคร่าว ๆ แล้ว เนื้อหาของเกมกล่าวถึง Martin Walker กัปตันหน่วย Delta Force ที่ได้รับภารกิจให้ออกค้นหาผู้รอดชีวิตของกองร้อย 33 นำโดย John Conrad ในเมืองดูไบที่โดนภัยสงครามจนราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว
ภารกิจของ Martin Walker ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ยากเท่าไหร่ จนกระทั่งพวกเขาปะทะกับกลุ่มชาวพื้นเมืองติดอาวุธ หนักกว่านั้นคือพวกเขาต้องปะทะกับทหารอเมริกันด้วยกันเอง สุดท้ายพวกเขาก็ต้องปะทะกับหน่วยงานของรัฐบาลที่ส่งพวกเขามา เมื่อคุณเล่นไปเรื่อย ๆ คุณจะเจอเหตุการณ์ที่หนักขึ้น ๆ จนคุณต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า สิ่งที่คุณกำลังทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า ?
ใช่ครับ ทั้งสามสื่อใช้พล็อตเรื่องเดียวกัน คือการเดินเข้าไปหา “ความมืด” ของมนุษย์ทีละนิด ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว ในช่วงแรก ทั้งคุณและ Martin อาจจะคิดว่าตัวเองทำถูกแล้ว ตัวเองตัดสินใจได้ดี แต่เมื่อเล่นไปซักพัก ความมืดจะค่อย ๆ กัดกินตัวคุณทีละน้อยแบบที่คุณไม่รู้ตัว จนสุดท้ายเมื่อมันเติบโตเต็มที่แล้ว มันจะพุ่งเข้ามาเผชิญหน้ากับคุณทันทีโดยที่คุณไม่ได้เตรียมใจไว้เลย
ทำไมมันถึงดี
เพื่อน ๆ รอบตัวผผู้เขียนพูดเสมอว่าในแง่รูปแบบการเล่น Spec Ops: The Line ยังไม่ใช่เกมดีเท่าไหร่นัก สิ่งที่ผลักดันเกมให้มันดีคือเนื้อเรื่องของมันล้วน ๆ ด้วยความที่ใช้พล็อตมาจากนิยายระดับเทพอย่าง Heart of Darkness แล้วยิ่งดัดแปลงเนื้อหาออกมาให้ดี ทำให้เกมนี้มีเนื้อเรื่องที่ยอดเยี่ยมเอามาก ๆ ในช่วงแรกเกมหลอกว่าทั้งเรา และ Martin ตัดสินใจได้ถูกต้อง 100% แต่เมื่อเล่นไปนาน ๆ ความมั่นใจในทางเลือกจะเหลือเปอร์เซ็นน้อยลงไปเรื่อย ๆ และเมื่อลดลงถึง 50% เมื่อไหร่ เมื่อคุณรู้สึกไม่มั่นใจ เกมก็จะเฉลยออกมาด้วยตัวมันเองว่า เส้นทางที่คุณเลือกเดินนั้น ถูกต้องหรือเปล่า ?
นอกจากทางเลือกที่มีให้คุณเลือกแล้ว เกมยังมีคำถามปลายเปิดจำนวนมากให้คุณคิด มีการวางสัญลักษณ์ทางศาสนา สัญลักษณ์ทางความคิดที่เปิดโอกาสให้คุณตีความว่าเกิดอะไรขึ้นในเกม ทำให้แต่ละคนที่เล่นเกมนี้ตีความออกมาได้ไม่เหมือนกัน ซึ่งประเด็นนี้เคยทำให้เนื้อหาของเกมถูกนำไปพูดคุยบนเว็บบอร์ดต่างประเทศบ่อย ๆ รวมถึงไทยด้วย
แล้วทำไมมันถึงไม่ดัง
Spec Ops: The Line วางจำหน่ายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2012 ซึ่งช่วงนั้นถือว่าเป็นช่วงที่เสี่ยงมาก ๆ ในการเปิดตัวเกมเล็ก ๆ เนื่องจากบริษัทใหญ่ พร้อมจะปล่อยหมัดฮุกในช่วงนี้อย่างเต็มที่ ทำให้ยอดขายช่วงเปิดตัวของเกมนี้ขาดทุนเป็นอย่างมาก กอดคอกับ The Darkness 2 เกมรุ่นพี่ค่าย 2K ลงเหวไปพร้อมกัน
เขาเล่ากันว่าสาเหตุหลักที่ทั้งสองเกมนี้ถูกมองข้ามเนื่องจากมัน “แพง” เกินไปในตอนเปิดตัว เนื้อหาของทั้งสองเกมถ้าเล่นแบบข้าม ๆ ให้มันจบ ก็มีเพียงแค่ 3-5 ชั่วโมงเท่านั้น การจ่ายเงินเป็นพันเพื่อเวลาแค่นี้บอกตรง ๆ ว่ามันไม่คุ้มค่าอย่างแรง Spec Ops: The Line ยังพอจะเข้าใจเพราะมันเล่นได้อย่างน้อยสองรอบเพื่อสัมผัสกับอารมณ์ที่แตกต่าง (รอบแรกคุณเชื่อ Martin สุดหัวใจ แต่รอบที่สองคุณจะไม่เชื่อเขาตั้งแต่เริ่มเกม) แต่กับ The Darkness 2 นี่แทบจะไม่มีอะไรให้เล่นรอบที่สองเลย.
อีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญคือเกมถูกโฆษณาว่าเป็นเกมทหารสมัยใหม่ ซึ่งฟังดูแล้วมันไม่มีอะไรน่าสนใจแม้แต่น้อย แถมยังวางจำหน่ายในช่วงที่ Modern Warfare 3 และ Battlefield 3 กำลังแข่งกันอย่างเมามัน มันก็เลยต้องขาดทุนอย่างที่เห็น
Spec Ops: The Line กลับมามีกระแสอีกครั้งตอนที่ตัวเกมหั่นราคาลงมา และดูเหมือนจะโด่งดังที่สุดในตอนที่มันถูกแจกฟรี หลายคนที่สัมผัสเกมนี้บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเนื้อหาในเกมเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก และเรียกร้องให้มีภาคต่อ แต่ขอโทษ… มันสายไปแล้ว คนเราเจ็บแล้วต้องจำ ผู้พัฒนาก็เลยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่ทำเกมนี้ต่ออีกแล้ว เพราะมันคือแก้วที่แตกละเอียด ต่อให้ใช้กาวที่ดีแค่ไหนก็ต่อมันให้กลับมาเป็นแก้วใบเดิมไม่ได้ ถือว่าเป็นการปิดตำนานเกมยอดเยี่ยมเกมนี้อย่างถาวร
Spec Ops: The Line อาจจะไม่ใช่เกมที่ดีเลิศประเสริฐศรีในทุกด้าน แต่มันก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเกมยิงที่ “เนื้อเรื่อง” ยอดเยี่ยมอันดับต้น ๆ ของวงการเกม สำหรับใครที่ยังไม่ได้ลอง และไม่คิดจะลอง แต่อ่านบทความนี้แล้วอยากเล่นขึ้นมาทันที ก็สามารถไปซื้อกันได้ ที่นี่ หรืออาจจะรอซักพักให้เกมลดราคาก็ได้ แล้วแต่ศรัทธานะครับ