นี่คือเกมที่เรารอคอยภาคต่อกันมานานกว่า 15 ปีเต็ม หากนับจากภาคสุดท้ายของเกมซีรีส์เดิมอย่าง Call of Pripyat การกลับมาครั้งนี้จะตราตรึงและระทึกใจแค่ไหน ขอเชิญพบกับ S.T.A.L.K.E.R. 2: Heart of Chonobyl ฉบับบทความ
**ฉบับวิดีโอรีวิวฉบับเต็มของ XTER-VENDETTA จะตามมาในภายหลัง**
Story
หลังผ่านอภิมหากาพย์เรื่องราวของสงครามหลายฝักฝ่ายใน S.T.A.L.K.E.R. ภาคแรก The Zone พื้นที่ Exclusion Zone ยังคงมีผู้คนหน้าใหม่เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย แถมในช่วงหลายปีมานี้ The Zone เองก็มีความเสถียรภาพมากขึ้น โครงการรัฐบาลและนักวิทยาศาสตร์ตั้งใจที่จะศึกษาข้อมูลใน The Zone และนำมันมาพัฒนามนุษชาติ แม้จะมีหลายคนคัดค้าน แต่เรื่องราวยังคงดำเนินต่อไป
ภาคนี้ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Skif หนึ่งใน Stalker หน้าใหม่ที่เพิ่งมาถึง The Zone แบบสด ๆ ร้อน ๆ เรื่องของเรื่องก็คืออยู่ดี ๆ บ้านพักของ Skif ก็โดน Artifact ตกใส่บ้านจนพังวอดวายไปทั้งหลัง แต่แทนที่ Artifact ชิ้นนั้นจะหายไป มันกลับมอดดับลง ราวกับเตรียมประจุพลังงานใหม่อีกครั้ง แม้บ้านจะพังไปทั้งหลัง แต่ Artifact อาจมีค่ามากกว่านั้น Skif ตัดสินใจร่วมมือกับ Hermann เดินทางมายังพื้นที่ The Zone เพราะถ้า Artifact อยู่นอกพื้นที่ The Zone นานเกินไป มันอาจสูญเสียพลังงานจนไร้ราคา พวกเขาร่วมมือกันเพื่อคืนพลังมันขึ้นมาใหม่ และอาจหาเงินจากมันได้
แต่ขณะที่การใช้อุปกรณ์ชาร์จพลัง Artifact ดำเนินไป Skif ถูก Stalker นิรนามโจมตีและชิงทั้งอุปกรณ์และ Artifact ไป แต่แทนที่เขาจะโดนฆ่า Skif โดนไว้ชีวิตอย่างลับ ๆ และถูกทำให้สลบ และเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ชีวิตใหม่ใน The Zone ของเขาก็เริ่มต้นขึ้น
เนื้อเรื่องหลัก ถูกปูเอาไว้อย่างน่าสนใจ และคราวนี้คนที่จะต้องผจญภัยไปยังพื้นที่ The Zone ที่มีขนาดกว้างใหญ่ ก็คือคุณผู้เล่นนั่นเอง แน่นอนว่าเมื่อย่างเท้าเข้ามาใน The Zone งานหลักในการตามหา Artifact ที่ถูกชิงไปย่อมต้องมีอุปสรรค ทั้งเรื่องของกลุ่มต่าง ๆ ที่อาจจะเป็นพวกเรา เป็นศัตรูเรา หรือตีกันเองทั้งสองฝ่าย มีเรื่องของการคบค้าสมาคม มิตรภาพ การทรยศและหักหลังอีกมากมาย ที่ถูกเล่าผ่านเนื้อเรื่องหลักและเสริม นี่คือเกมที่คอนเทนต์ด้าน Story แน่นมากอีกเกมหนึ่ง และแม้ผู้เขียนจะซัดไป 20 ชั่วโมงเต็ม ๆ มันก็ยังมีเนื้อหาใหม่ ๆ งอกออกมาเรื่อย ๆ รวมไปถึงมีวิธีการรับรู้เนื้อหาใหม่หลายทาง ตั้งแต่การเลือกสอบถาม คุยกับ NPC ข้างทางไปจนถึง การเก็บพวก PDA ที่เสียหายอยู่ใน The Zone
ใครคิดว่ามันจะเป็นเกม Open World FPS ดาด ๆ ขอบอกว่าไม่ เพราะเนื้อเรื่องเกมนี้คืออีกส่วนที่ดีมาก ๆ ของเกมนี้ แม้เราจะยังไปไม่ถึงปลายทางว่าจะจบลงอย่างไร แต่เชื่อว่ามันมีมากพอ และอิ่มอกอิ่มใจเหล่าผู้โหยหาความแข็งแกร่งของ World Setting และ Story แน่นอน
Presentation
ย้อนไปตอนที่ทีมงาน GSC Game World ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับบรรยากาศของโลกภายในเกมนี้ มันจะเต็มไปด้วยความอิสระ ความเหงา ความหดหู่ และความตึงเครียด และไม่น่าเชื่อว่าเกมนี้จะทำได้อย่างที่เขาบอกไว้จริง ๆ ตามที่เขาบอกไว้ทุกประการ เซ็ตติ้งของ S.T.A.L.K.E.R. 2 ยังคงเป็นพื้นที่ Exclusion Zone แต่เรื่องราวจะเกิดขึ้นในโลกยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าพอเป็น Exclusion Zone พื้นที่สุดอันตรายแบบนี้ มันเลยกลายเป็นพื้นที่ที่รวมทุกอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนต่าง ๆ เอาไว้มากมาย ใครที่เล่น S.T.A.L.K.E.R. ภาคแรก ก็จะรู้ว่า เหล่า Stalker คือผู้ใช้ชีวิตเสี่ยงภัยอันตราย ดิ้นรนเอาตัวรอดใน Exclusion Zone ซึ่งมันมีครบทุกอารมณ์ความรู้สึก
ในช่วงเวลากลางวัน การเดินทางอาจเต็มไปด้วยความอ้างว้าง แต่ก็ไม่รู้สึกเหงาจนเกินไป แม้ระหว่างทางอาจจะมีศัตรู แต่เมื่อเรากดเปิดแผนที่และเห็นย่านชุมชนอยู่ไกล ๆ เมื่อเข้าไปก็จะพบกับเหล่าผู้คนที่ใช้ชีวิตกันอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้มีอำนาจ แต่ก็ยังมีอิสระ มีกองไฟ มีวงเหล้า มีร้านอาหารให้ได้เข้าไปร่วม อย่างน้อยเราก็ยังพออุ่นใจได้ว่าอาจจะเดินเท้าไปได้ถึง แต่ในยามกลางคืน เกมนี้จะมืดสนิทจนไฟฉายที่อยู่กับตัวเราก็แทบจะไม่ช่วยอะไร การออกเดินทางทำอะไรสักอย่างในเวลากลางคืนจะยิ่งอันตรายเป็นสองเท่า ไม่ว่าจะกองโจร ภัยธรรมชาติ Anomaly หรือแม้แต่กับดักต่าง ๆ ที่วิสัยทัศน์ของเราไม่อาจจะมองเห็นได้ในตอนกลางคืนพร้อมจะฆ่าเราทุกย่างก้าว และไม่ใช่แค่นั้น ความโหดของกราฟิกที่ใช้ Unreal Engine 5 อย่างเต็มรูปแบบ มันทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าสภาพบรรยากาศรอบ ๆ ตัวในเกม มันสวยงามแต่ก็อันตรายของจริง คือต้องยอมรับเลยว่าโลกภายใน S.T.A.L.K.E.R. 2 มันทำออกมาได้ดีมาก
และมันจะยิ่งดีไปอีกถ้าเกิดคุณเล่นด้วยการสวมหูฟังหรือฟังเสียงในเกม มันไม่ใช่แค่ดีแต่มันจำเป็นเลยทีเดียว เพราะคุณจะได้ยินเสียงเตือนภัยจากเครื่องส่งสัญญาณ Anomaly ไม่พอ มันยังทำให้คุณได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของพวกสัตว์จากพงหญ้า ดงป่า หรืออะไรก็ตาม การออกแบบฉากของเกมนี้ เป็นการบอกผู้เล่นโดยไม่ต้องขึ้นตัวหนังสืออะไรเลยว่า The Zone แห่งนี้ไม่ใช่สนามเด็กเล่น ใครคิดจะเข้ามาเดินกินลมชมวิว คุณมาผิดที่ และผิดเกมแล้ว เพราะทุกอย่างมันพร้อมจะฆ่าคุณได้เสมอ ถ้าไม่ระวังตัวให้ดี
ขนาดของแผนที่ในเกมนี้กว้างใหญ่กว่าภาคแรกแบบคนละเรื่อง ตอนแรกเราเริ่มเล่นก็จะคิดว่า อ๋อ มันคงมีชุมชนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ใหญ่มาก แต่พอกดแผนที่แล้วซูมออก โอ้โห มันใหญ่กว่าภาคแรกแบบไม่เห็นฝุ่นไปเลย มันคือความตั้งใจของทีมพัฒนาที่อยากจะทำแมปใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่ภาคแรก แต่เทคโนโลยีตอนนั้นมันไม่เอื้ออำนวย พอภาคนี้ทำได้แล้ว มันเลยจัดหนักจัดเต็มความยิ่งใหญ่ได้แบบสุด ๆ และโชคดีที่ระบบ Fast Travel ในแบบภาคแรกยังคงกลับมา แต่เราจะใช้งานระบบนี้ก็ต่อเมื่อไปเจอ NPC ตาม Outpost หรือแคมป์ต่าง ๆ เท่านั้น ดังนั้นเวลาเดินทางทั่วไป คุณก็ยังต้องเดินเท้ากันอยู่ และมันจะพาคุณไปเจออันตรายต่าง ๆ แบบแน่นอน
และสิ่งที่เขาพยายามจะเปลี่ยนแปลงในภาคนี้คือ มันจะไม่ใช่เกม RPG แบบภาคแรก แต่จะเน้นความเป็น Immersive Sim ลงไปในเกม ไม่ว่าคุณจะพยายามตะบี้ตะบันหาของให้เยอะแค่ไหน สุดท้ายมันจะเป็นเพียงตัวเลือกที่คุณต้องเลือกใช้ เพราะอุปกรณ์แต่ละอย่างจะมีความสามารถที่แตกต่างกันไป ทั้งอาวุธปืน ชุดเกราะ สิ่งของป้องกันต่าง ๆ ไม่มีการตัดเกรดแบ่งสี มีค่าตัวเลขมากมาย ทุกอย่างจะถูกแทนที่ด้วยความสามารถเฉพาะทางหลังจากการอัปเกรด ดังนั้นทรัพายกรที่มีค่าที่สุดในเกมนี้จึงเป็นเงิน ผู้เล่นจะไม่ต้องปวดหัวกับการนั่งคัดแยกไอเทม อันนี้เจออันไหนพัง ถ้าไม่โยนทิ้งก็ซ่อมแล้วไปขายต่อได้เลยง่าย ๆ
และทีเด็ดสุด ๆ ของภาคนี้ที่อาจจะเป็นระบบที่โดนใจผู้เล่นหลายคน ก็คือความเปิดกว้างและอิสระในการทำภารกิจของผู้เล่น เกมนี้ไม่ว่าจะเป็นภารกิจหลักหรือภารกิจรอง ล้วนมีสิ่งที่ผู้เล่นหลายคนต้องเจอกับเกมอื่นมาบ้างแล้วก็คือระบบ Optional หรือทางเลือกในการเล่น ไม่ว่าจะภารกิจหลักหรือภารกิจรอง ในบางครั้งผู้เล่นจะมีทางเลือกเสมอว่าจะตอบอะไร หรือเลือกทำอะไรเพื่อให้ภารกิจไปต่อได้ เช่น จ่ายเงิน ต่อรอง หรือถ้าขี้เกียจก็ใช้กำลังเคลียร์กันได้เลย แต่บางครั้งการเจรจาต่อรองหรือเลือกบทสนทนาที่ไม่เข้าหูอีกฝ่ายก็อาจจะทำให้มีการเปิดฉากยิงโดยไม่จำเป็นได้ เช่น หากเราโดนสั่งให้ไปทำอะไรสักอย่าง แล้วเราเลือกจะสวนกลับว่า “อย่ามาสั่งกันนะ” แค่นี้ก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายชักอาวุธมาเปิดเราก่อนได้แล้ว The Zone นี่มันอันตรายจริง ๆ
รวมไปถึงการเลือกถามตอบแต่ละอย่างอาจจะทำให้เรารู้จุดประสงค์ รู้เป้าหมายที่แท้จริงของแต่ละคนมากยิ่งขึ้น เช่นในตอนแรก เรารับงานจาก A ให้ไปตามล่า B แต่ปรากฏว่าพอได้คุย ได้นั่งฟังเรื่องราวจริง ๆ เราจะรู้สึกว่า B มันก็ไม่ได้เลวร้ายหรือถึงขั้นสมควรตาย งานนี้เราก็ต้องเลือกเอาแล้ว ว่าจะเลือกทางไหน และตลอดทั้งภารกิจหลัก ภารกิจรอง ยังไงก็ต้องเจอทางเลือกแบบนี้บ้าง ประกอบกับคราวนี้เกมมันตัดระบบ RPG ออกไป เงินเป็นสิ่งสำคัญ ทรัพยากรแทบทุกอย่าง อาหารทุกชนิด กระสุนทุกนัด ล้วนเป็นของรางวัลที่คุณต้องอยากได้ เพื่อให้ชีวิตการเป็น Stalker มันง่ายขึ้น และคุณจะอยากทำทุกอย่างไปเองโดยไม่ต้องรอให้ใครมาบอกว่าควรฟาร์มหรือไม่ฟาร์ม ชีวิตคุณลำบากแค่ไหน นั่นคือคำตอบ จะเลือกเอาหน้าไถไปข้างหน้าโดยไร้ซึ่งตัวช่วยใด ๆ เลยก็ได้ แต่มันตึงจนเกินไป ก็แปลว่าคุณไม่ได้พยายามจะทำให้ตัวละครเก่งขึ้นเลยนั่นเอง
สุดท้ายที่อยากจะชมจริง ๆ เลยคือกราฟิก กราฟิกของเกมนี้เข้าขั้นสวยงามระดับ Top Tier ของวงการเกม AAA ตอนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นฉากอาคารสถานที่ ย่านชุมชน พื้นที่เปล่าเปลี่ยวและดง Anomaly ไม่มีช็อทไหนที่ผู้เขียนรู้สึกว่ามันไม่สวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนสภาพอากาศแปรปรวน ไม่ว่าจะเป็นลมพายุ สภาวะผิดปกติจนท้องฟ้าเป็นสีแดงฉาน ฝนตก ลมกรรโชก ทุกอย่างมันทำออกมาได้ Realistic ในระดับที่มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวเรานี่แหละที่ไปอยู่ในเกม ไม่ใช่ตัว Skif แต่แน่นอนว่า ในเมื่อเกมมันจัดหนักจัดเต็มขนาดนี้ มันก็ต้องตามมาด้วยปัญหาใหญ่นั่นคือเรื่องสเปคเครื่อง อันนี้เราจะเอาไว้พูดคุยกันต่อในหมวด Performance
แต่ที่แน่ ๆ S.T.A.L.K.E.R. 2 เป็นเกมระดับ “งานประณีต” ที่เราจะได้เห็นทีมงานตั้งใจเก็บรายละเอียดในทุกภาคส่วนอย่างตั้งใจ ยิ่งเห็นก็ยิ่งประทับใจในความจริงที่ว่า ทีมพัฒนา ได้พัฒนาเกมนี้ท่ามกลางอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่เรียกว่าไฟสงคราม หากคุณจะเอาแค่เนื้อเรื่องหลัก เกมนี้อาจกินเวลาคุณได้มากกว่า 30-40 ชั่วโมง แต่หากจะออกสำรวจทั่วทุกซอกมุมของ The Zone เก็บ Artifact ให้ครบทุกชิ้น คุณจะติดอยู่กับเกมนี้ในหลัก 100 ชั่วโมงขึ้นไปแน่นอน เสียเงินซื้อเกมเต็มอาจจะคุ้มค่ามาก แต่ใครเล่นผ่าน Game Pass นี่ รับรองว่าคุ้มยิ่งกว่า เว้นแต่วันใดวันหนึ่งเกมอาจจะถูกถอดออกจากระบบ Game Pass ไป
Gameplay
ในด้านเกมเพลย์ของ S.T.A.L.K.E.R. 2 ใครที่เคยเล่นภาคแรกมา อาจจะได้เปรียบกว่าตรงที่สามารถเรียนรู้และเข้าใจระบบเกมการเล่นได้เร็วกว่า หลากหลายระบบที่อยู่ในภาคแรก ถูกหยิบมาสานต่อในภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเตือนภัยกัมมันตภาพรังสี หรือ Anomaly การใช้เครื่องตรวจจับเพื่อหา Artifact หรือแม้กระทั่งสภาพพื้นที่แปรปรวนสุดอันตรายเพราะ Anomaly ก็จะยังคงมีอยู่เหมือนภาคแรก
เกมนี้การเปิดหน้าเมนูต่าง ๆ จะไม่ได้เป็นอินเตอร์เฟสขึ้นมาทันทีแบบเกมอื่น ๆ แต่จะเป็นการหยิบจับของสิ่งนั้นขึ้นมาจริง ๆ เช่น การเปิดช่องเก็บของก็จะเป็นการหยิบเอากระเป๋าสะพายออกมา การเปิดแผนที่ หน้าต่างภารกิจก็จะเป็นการหยิบ PDA ขึ้นมา ทำให้มันมีหน่วงเวลาอยู่เล็กน้อย เวลาที่เราจะทำอะไร เราไม่สามารถทำมันได้ในทันที แม้กระทั่งการกินอาหาร หรือใช้ไอเทมรักษาบาดแผลเองก็เช่นกัน ดังนั้นการเล่นเกมนี้ให้คิดเสียว่า มันไม่ใช่การเล่นเกม แต่มันเป็นเกมจำลองการใช้ชีวิตใน The Zone ที่ทุกอย่างจะมีความ “คล้ายคลึง” กับชีวิตจริง การหยิบจับ ออกแอ็คชันอะไรก็ตาม จะต้องใช้เวลาในการเอื้อมไปคว้าจับ หรือหยิบสิ่งนั้นขึ้นมานั่นเอง
ระบบการต่อสู้ของเกมนี้ ใครที่เสพติดเกมยิงเกมอื่น ๆ มาจับเกมนี้รับรองว่าตายเอาได้ง่าย ๆ สำหรับคนที่เล่นเกมภาคแรกมาอาจจะรู้สึกเฉย ๆ แต่ใครเพิ่งมาเล่นภาคนี้ใหม่ คุณจะต้องปรับตัวกันพอสมควร การต่อสู้ในเกมนี้ มันจะไม่ใช่การวิ่งยิงแบบพวกเกมแอ็คชันทั่วไป มันจะผสมผสานความยาก และความกดดันเอาไว้ราวกับเรากำลังต่อสู้จริง ๆ เราจะรู้สึกได้ตั้งแต่การพยายามหันมุมกล้อง หันเล็งปืนเลยว่า มันไม่ได้ลื่นไหล หรือเล็งได้ง่ายขนาดนั้น และสิ่งปราบเซียนเลยสำหรับคนเคยผ่านภาคแรกมา คือประสิทธิภาพของอาวุธ ในเกมนี้เมื่อเรากดเปิดหน้าจอช่องเก็บของมา เราจะเห็นที่อาวุธของเราจะมีรูปสัญลักษณ์เกราะสีเหลืองกับสีแดงอยู่ มันคือค่า Durability หรือความคงทนของอาวุธ ถ้าอยู่ในสีเหลือง การยิงจะเริ่มติดขัด เช่นกระสุนขัดลำกล้อง หากเกิดในสถานการณ์ที่กำลังต่อสู้อยู่ โอกาสตายคุณจะสูงมาก อาวุธทุกชิ้นสามารถซ่อมได้ที่เหล่า NPC ในย่านชุมชนต่าง ๆ ซึ่งค่าซ่อมก็จะตามแต่ความสามารถของอาวุธ ดีหน่อยก็แพงหน่อย แต่เชื่อเถอะว่า ซ่อมไว้แล้วชีวิตจะดี นอกจากนั้นหากค่าความคงทนอาวุธต่ำจนถึงขั้นสีแดง เราจะไม่สามารถขายมันให้กับ NPC ได้ เปรียบเสมือนกับขายของพัง ไม่มีใครอยากซื้อไปใช้งานแน่นอน ทำได้แค่โยนทิ้งเท่านั้น
อาวุธแต่ละชนิดจะสามารถเลือกปรับจูนหรืออัปเกรดได้ที่ NPC เหมือนกัน การปรับแต่งและอัปเกรดอาวุธจะช่วเยพิ่มประสิทธิภาพ และอาจติดตั้งอุปกรณ์เสริมทำให้ปืนใช้งานได้ง่ายขึ้น ส่วนของชุดเกราะและเสื้อผ้า ก็จะเพิ่มค่าต้านทานต่าง ๆ เช่นป้องกันสถานะผิดปกติ ป้องกันเลือดไหล ทนทานต่อ Anomaly ได้ดีขึ้น และแน่นอนที่ขาดไม่ได้จริง ๆ สำหรับ Stalker ก็คือ Artifact สิ่งของล้ำค่าดั่งทองคำที่ฆ่ากันแทบเป็นแทบตายกว่าจะได้มา ในภาคนี้ก็ยังคงมี Artifact หลากหลายชนิดให้ผู้เล่นตามเก็บตามใช้ เป็นอีกจุดประสงค์หลักที่เชื้อเชิญให้ผู้เล่นสำรวจมาก ๆ
แต่การจะได้มาซึ่ง Artifact แต่ละชิ้นนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เราจำเป็นจะต้องใช้เครื่อง Detector ในการตรวจจับหาว่าละแวกที่เราอยู่นั้น มี Artifact หรือไม่ และ Artifact กับ Anomaly คือของคู่กัน วิธีการสำรวจหาว่าแถวนั้นมี Artifact หรือไม่ก็ต้องสังเกตดูว่า ตรงนั้นมันมีจุดที่เกิดเป็นกลุ่ม Anomaly ขนาดใหญ่หรือไม่ เช่นถ้าเดินอยู่ดี ๆ ไปเจอดงควันพิษ หรือเสื้อเกราะของเราส่งสัญญาณเตือนดังไม่พัก ให้ลองหยิบเครื่อง Detector ออกมา เพราะมีโอกาสสูงมากที่มันจะเจอ Artifact ในนั้น โดยเครื่อง Detector จะกะพริบยิ่งใกล้ Artifact ก็จะยิ่งกะพริบถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเราเจอ และสามารถเก็บมันออกมาได้ โดย Artifact แต่ละชิ้นจะมอบความสามารถต่าง ๆ ให้กับผู้เล่น บ้างก็กันสถานะผิดปกติ บ้างก็เพิ่มพลังโจมตี หรือความอึด แต่ชิ้นไหนจะเพิ่มอะไรบ้าง ก็คงต้องไปหาคำตอบกันเอาในเกมเพิ่ม เพราะเห็นว่ามันมีเยอะมาก ถึงขั้นที่แฟนเกมบางคน เริ่มทำ Interactive Map ให้เก็บกันแล้ว
และต้องย้ำกันอีกครั้ง สำหรับคนที่มาสนใจเกมนี้เพราะกระแสความแรงของตัวเกม รวมไปถึงการที่มันลง Game Pass นั่นคือ “นี่ไมใช่เกมง่าย” แม้ตัวผู้เขียนเองจะเริ่มเล่นที่ระดับ Rookie มันก็ยังไม่ง่ายขนาดนั้น อย่างที่บอกไปในช่วง Presentation ทุกย่างก้าวในเกมนี้พร้อมจะฆ่าเราให้ตายไม่เว้นแม้กระทั่งในจุดเซฟโซนที่หากเราเดินชนลวดหนามก็เลือดออกได้เหมือนกัน ทุกอย่างในเกมนี้พร้อมเป็นเสี้ยนหนามชีวิตทั้งหมด ถ้าคุณไม่ดูแลจัดการตัวเองให้รอบคอบ ทำให้เกมนี้คุณต้องจริงจังเกมมิ่งในระดับนึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเล่นในระดับ Normal ขึ้นไป คุณต้องมีการบริหารจัดการกระเป๋าและทรัพยากร อาหาร เครื่องดื่ม ต้องพกติดตัวไปตลอด เพราะถ้าหิวขึ้นมา การเคลื่อนไหวจะใช้ Stamina มากขึ้น เผลอเก็บของมากเกินไปก็เกิดปัญหาเดียวกัน หน้ากากกันกัมมันตรังสี ต้องคอยเช็กคอยซ่อมอย่าให้ขาด เพราะการออกสำรวจไปแล้วเจอ Radiation โดยบังเอิญ เราก็ต้องคอยกระดกแอลกอฮอล์เพื่อแก้อาการนี้ แต่ถ้ากระดกมากไปก็เมาอีก อย่าว่าแต่สู้เลย เดินยังลำบาก ยิ่งจังหวะที่ต้องปะทะศัตรู คือเกมมันไม่ใช่เกมแบบแอ็คชันชูตเตอร์ ทำให้การยิงของเราจะไม่ได้แม่นแบบเข้าหัวโบ๊ะ ๆ แบบเกมอื่น แต่เราต้องเล็งยิงดี ๆ คอยฉากหลบ คอยหาที่กำบัง ถ้าปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า คุณก็จะเป็นอีกศพหนึ่งที่โดนฝังอยู่ในแดน The Zone นั่นแหละ
แต่ทั้งอาวุธและชุดเกราะของคุณก็สามารถอัปเกรดได้ผ่าน NPC ของแต่ละชุมชนนั้น ๆ โดยจำเป็นจะต้องใช้เงิน ยิ่งปรับแต่งให้ดี ยิ่งแพง และในระดับสูงจะต้องใช้ไอเทมพิเศษ ที่เราอาจจะต้องไปสำรวจมาเพิ่ม ซึ่งการออกสำรวจในเกมนี้ มันก็ให้ความแตกต่างจากเกมอื่น มันไม่ใช่แค่การต่อสู้ การอัปเกรด แต่แม้กระทั่งการออกสำรวจ การดำเนินภารกิจ เกมนี้ก็เลือกที่จะมอบประสบการณ์เหล่านั้นให้ตัวผู้เล่นเอง ไม่มีการบอกจุดที่ชัดเจน ไม่จูงมือ เกมจะชี้จุดให้ว่าเราต้องไปตรงนี้ แต่เมื่อถึง และภารกิจเป็นการสำรวจ เราจะต้องนั่งหาเอาเอง ไม่ว่าจะเป็นคน หรือสิ่งของ บางครั้งถึงกับต้องเปิด PDA ขึ้นมา เพื่ออ่านรายละเอียดดี ๆ อีกรอบถึงจะไปถูกจุด อย่างที่บอกว่าเกมมันมีความเป็น Immersive อยู่สูงในระดับหนึ่งเลย
ในด้านของดีไซน์ภารกิจ อันนี้ใครที่ชอบความหลากหลาย ชอบการเจรจาต่อรอง คุณจะสนุกกับการอ่านไดอะล็อกของเกมนี้มาก ๆ เพราะเมื่อเรารับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เราจะตัดสินใจด้วนตัวเองทันที ว่าจะทำอะไรต่อ หรือบางภารกิจที่มีความหลากหลายในการจบภารกิจ โยนเงินให้จะได้จบ ๆ ไป แต่เงินของเกมนี้ก็เป็นสิ่งล้ำค่า แต่ถ้าจะสู้ ชุดจะพัง ของจะพังไหม จะคุ้มหรือเปล่า แม้กระทั่งภารกิจ Escort NPC เกมนี้ก็มาแบบสนุก ๆ คือเราต้องพาเขาออกจากดินแดน Anomaly ต้องเดินนำหน้า ต้องเช็กทุกย่างก้าวให้ดี เพราะคราวนี้ถ้า NPC เควสท์ตาย เราก็อาจจะไม่ได้อะไรเลยแม้แต่น้อยหลังจากฝ่าฟันมานาน คราวนี้แหละ ฟีเจอร์ Save/Load ถึงมีประโยชน์ขึ้นมาแบบสุด ๆ
เมื่อทุกอย่างในเกมถูกนำมาผสมผสานกันอย่างลงตัว เลยทำให้ S.T.A.L.K.E.R. 2 เป็นเหมือนภาคต่อที่นอกจากจะยกระดับเนื้อหาให้ดีขึ้น เกมเพลย์ และหลายสิ่งหลายอย่างที่ทางผู้พัฒนาเคยเสียดาย เพราะใส่ในภาคแรกไว้ไม่ได้ ก็ถูกเพิ่มเข้ามา คอนเทนต์และระบบเกมการเล่นภาคนี้ มันแทบจะเรียกได้ว่าทวีคูณจากภาคเดิมทั้งหมด และมันยังต้อนรับผู้เล่นหน้าใหม่ได้ดีอีกด้วย อาจจะติดแค่ความยากของตัวเกมที่อาจจะเป็นกำแพงพิเศษเฉพาะบุคคลที่ทำให้ตัวเกมเข้าถึงได้ยากไปเสียหน่อย แต่ถ้าใจรักมากพอ มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
ประสบการณ์ตลอด 20 ชั่วโมงของ S.T.A.L.K.E.R. 2 มันเต็มไปด้วยความระทึก ความกดดัน แต่กลับกันมันก็ท้าทาย และสนุกมาก ๆ และอีกครั้งที่เราจะบอกทุกคนที่เพิ่งมาเริ่มเล่นอย่างไม่ต้องอายว่า เลือกความยากระดับง่ายสุดไปเลย เว้นแต่คุณเป็นสายเสพติดความยาก อันนี้คุณจะมีความสุขกับการเล่นในระดับ Normal และระดับ Stalker (Hard) แน่นอน
Performance
และมาถึงส่วนที่เป็นปัญหาหนักที่สุดเลยของเกมนี้ S.T.A.L.K.E.R. 2 มาดีแบบทุกอย่าง ทั้งเกมเพลย์และระบบการเล่น แต่ Performance หรือประสิทธิภาพถือว่าเป็นอะไรที่น่ากุมขมับพอสมควร เริ่มจากอาการเกมค้างทันที หากเราเผลอพับหน้าจอ หรือ Alt+Tab เชื่อว่ามีไม่น้อยที่เล่นไปสักพักก็อยากจะพักสายตา ไปทำอย่างอื่น เปิดโซเชียล เข้า Discord บ้าง แต่ถ้าตัวเกม S.T.A.L.K.E.R. 2 รันอยู่ มีโอกาสสูงมากที่เกมจะล่มไปเลย วิธีแก้ก็ต้องแก้ที่ตัวเองคือพยายามอย่าพับหน้าจอไปทำอย่างอื่นในระหว่างเล่น
ปัญหาต่อมาคือแม้จะใช้เครื่องเล่นเกมที่มีสเปคสูงตามมาตรฐานสเปคที่เกมระบุไว้ แต่มันก็ยังมีปัญหาให้ได้เห็น เช่นอาการเฟรมเรทตก เมื่อเล่นไปนาน ๆ หรือตอนเจอสภาพอากาศแปรปรวน อันนี้คือหนักสุด ๆ เพราะมันเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยว่าเกมไม่ลื่นเหมือนตอนเปิดเล่นครั้งแรก และด้วยความที่เกมนี้มีขนาดแผนที่ที่ใหญ่มาก ๆ หากเราเดินเล่น หรือทำภารกิจจนข้ามไปถึงแอเรียใหม่ อาการกระตุก เหมือนกับการโหลดฉาก โหลด Texture ก็จะตามมาทันที และบางครั้ง แค่การกระตุกเบา ๆ ก็อาจจะทำให้เกม Crash ล่มไปด้วยเลย เป็นผลข้างเคียงที่ตามกันมา
ส่วนอีกปัญหาคือเกมจะโหลด Compilng Shaders แทบจะทุกครั้งที่ทำการเข้าเกมใหม่ สำหรับการโหลด Shaders ที่ถือว่าเป็นปกติในเกมยุคนี้ ถ้าเป็นคนที่สเปคคอมแรง ๆ อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่ โหลดเทคเดียวผ่าน แต่คราวนี้คุณจะต้องมานั่งโหลดทุกรอบ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร และถ้าเครื่องใครที่สเปคต่ำกว่าเกณฑ์มาหน่อยก็อาจจะใช้เวลาโหลดนานมากยิ่งขึ้น แครชทีก็โหลดใหม่ที ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เพราะต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเกมนี้มีขนาดโลกภายในเกมและวัตถุต่าง ๆ ในเกมที่เยอะมาก ๆ เช่นกัน
สำหรับเรื่องอาการกระตุก หรือปัญหาเฟรมเรทต่าง ๆ จากที่เล่นมา ขอแค่เครื่องคุณถึงสเปคตามที่มันระบุไว้ อาศัยการตั้งค่าที่เหมาะสมกับแต่ละเครื่อง ยังไงก็เล่นได้ พวกบั๊กต่าง ๆ ที่เจอ ส่วนตัวผู้เขียนเจอเพียงแต่ Glitch ด้านการแสดงผล เช่นกราฟิกบั๊ก ตัวละครเดินทะลุประตู ซึ่งไม่ส่งผลกับเกมการเล่นอะไรเลย ทำให้ปัญหาส่วนใหญ่ไปอยู่ที่อาการเกมล่ม ซึ่งทีมงานเขาก็ออกมายืนยันแล้วว่า จะมีการแพทช์แก้ภายในช่วงต้นเดือนธันวาคมแน่นอนอยู่แล้ว
ด้านการ Setting และการปรับตั้งค่าตัวเกม ก็ถือว่าผ่านมาตรฐาน มีการตั้งค่ายิบย่อยลงมาจากความยากด้วย เช่น ทำให้ Object ได้รับการ Highlight เหมาะสำหรับคนชอบเพ่ง ชอบหาของเอง UI เองก็สามารถปรับปิด Indicator ได้ตามใจชอบ จะเอาแบบว่าโดนยิงไม่รู้ทิศ โดนปาระเบิดใส่ไม่รู้ทางในความยากระดับง่าย คุณก็ทำได้ด้วยตัวเอง ปรับแต่งความยากของตัวเองด้วย หรือปรับตั้งค่าให้โชว์จำนวนกระสุนก็ยังได้ สำหรับคนชอบความตึงยิ่งกว่าที่เกมจัดให้
ถ้าตัดเรื่องประสิทธิภาพในการรันเกม ด้านการ Config และการมอบอิสระปรับแต่งตัวเกมให้ผู้เล่น เกมนี้อยู่ในขั้นดีมากเลยทีเดียว ก็หวังว่าพวกเขาจะแพทช์แก้กันได้ในเร็ว ๆ นี้
แม้จะรีวิวยืดยาวขนาดนี้ แต่นี่คือประสบการณ์การเล่นเพียง 20 ชั่วโมงแรกของผู้เขียนเท่านั้น ก่อนที่รีวิวตัวเต็มจะมาจาก Stalker ระดับมืออาชีพอย่างพี่เนกซ์ที่จะตามมาในเร็ว ๆ นี้ แฟนเกมรอติดตามฉบับวิดีโอรีวิวกันได้เร็ว ๆ นี้