BY Aisoon Srikum
23 Jan 20 5:16 pm

Stardew Valley ความสำเร็จของเกมปลูกผักยุคใหม่ที่เริ่มต้นด้วยผู้พัฒนาเพียงคนเดียว

47 Views

ในขณะที่แฟนเกมรุ่นเก๋าลายคน ยกให้ Harvest Moon เป็นสุดยอดเกม Simulator หรือที่เรียกกันติดปากว่าเกมปลูกผักแห่งยุคสมัย ปี 2016 ก็มีผู้พัฒนาคนหนึ่งปล่อยเกมของตัวเองลงขายใน Steam หลังจากพัฒนามาเป็นเวลานาน ก่อนที่มันจะประสบความสำเร็จแบบถล่มทลาย และทำยอดขายได้เกิน 10 ล้านชุดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วในปัจจุบัน เกมเกมนั้นมีชื่อว่า Stardew Valley ที่มีจุดเริ่มต้นชายชื่อ Eric Barone เพียงคนเดียวเท่านั้น

จุดกำเนิดของไร่แสงดาว และชายชื่อ Eric Barone

จุดเริ่มต้นของ Stardew Valley ย้อนไปเมื่อปี 2011 หรือ 9 ปีที่แล้ว Eric Barone หรือนามแฝง ConcernApe ได้ศึกษาจบจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันทาโคมา หลังจากเขาส่งใบสมัครงานสายโปรแกรมเมอร์อยู่สักพัก เขาก็รู้สึกว่างานนี้ไม่น่าใช่หนทางของเขา และเขาคงไม่คิดจะนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานแคบ ๆ ไปได้ เขาจึงตัดสินใจนำทักษะสายคอมพิวเตอร์ของเขามาโฟกัสที่การพัฒนาเกม ในระหว่างที่เขาเริ่มต้นพัฒนาเกมนี้ เขาก็ทำงานเสริมเป็นเด็กเดินตั๋วหนัง ก่อนจะใช้เวลาที่เหลือกลับมานั่งพัฒนาเกมนี้ต่อไปเรื่อย ๆ  และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของไร่แสงดาว Stardew Valley เกมนี้

ด้วยความที่ Eric เป็นแฟนตัวยงของเกม Harvest Moon เขาจึงเอาเกมนี้มาเป็นแนวคิด พร้อมกับบอกว่า เกมนี้จะแก้ไขสิ่งที่เขาหงุดหงิดที่สุดเวลาเล่น Harvest Moon นอกจากนั้นเขายังเอาแรงบันดาลใจมาจากเกมอื่น ๆ อย่างละนิดละหน่อย ทั้ง Animal Crossing , Rune Factory หรือแม้กระทั่งเกมชื่อดังอย่าง Minecraft แต่เพิ่มระบบต่าง ๆ เข้าไปในเกมเช่นภารกิจ การคราฟท์ไอเทม และระบบการต่อสู้

เริ่มต้นจากการปล่อยให้เล่นแบบฟรี ๆ และไปเตะตา Chucklefish

Eric Barone ปล่อยเกมนี้ครั้งแรกให้กับ XBOX Live Indie Game แบบฟรี ๆ และตัวเกมได้รับกระแสการตอบรับที่ดีมาก ๆ เขาจึงตั้งใจจะพัฒนาให้มันดียิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นในเดือนกันยายนปี 2012 เขาจึงใช้ระบบ Steam Greenlight ของทาง Steam เพื่อหยั่งเชิงความสนใจของเหล่าเกมเมอร์ แน่นอนว่ามันได้รับความสนใจอย่างมากมาย จนไปเตะตา Finn Brice ผู้อำนวยการของ Chucklefish ค่ายที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากการเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายเกมอินดี้ชื่อดัง

ซึ่งทาง Chucklefish เองเข้ามาช่วยบริหารจัดการในส่วนของโฮสต์เว็บไซต์และฐานข้อมูลของตัวผู้พัฒนาเอง ทำให้ Eric จัดเต็มกับการพัฒนาเกมมาตลอด 4 ปีเต็ม นั่นรวมไปถึงการที่เขาสร้างงานศิลป์และแต่งดนตรี เพลงประกอบของเกมเองทั้งหมดอีกด้วย

“ผมไม่สนใจการขายแบบ Early Access”

ปกติแล้ว เรามักจะเห็นหลายเกมในยุคหลังออกวางขายแบบ Early Access การขายแบบ Early Access คือการขายที่ตัวเกมยังไม่เสร็จดี แต่เป็นการมาขายเอาเงินก่อน เพื่อนำเงินไปเป็นทุนพัฒนากันต่อ แต่ไม่ใช่กับชายชื่อ Eric Barone

เพราะเขาปฏิเสธการขายเกมนี้ในรูปแบบ Early Access พร้อมกับบอกว่า เขาจะขายเกมนี้เมื่อมันพร้อม และมีฟีเจอร์ในเกมที่ครบถ้วนแล้วเท่านั้น

สุดท้ายเกมนี้ก็ได้วางจำหน่ายในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2016 และความพยายามของเขาก็ไม่สูญเปล่า เพราะมันแทบจะเป็นปรากฎการณ์ทั้งในไทยและต่างประเทศ ตัวเกมขายดีเป็ฯเทน้ำเทท่า พร้อมคำชมอย่างไม่ขาดปาก ว่านี่คือเกมแนว Simulation ชั้นดี

แต่คำชมก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดอยู่แค่นั้น เพราะ Eric Barone ก็ได้คอยพัฒนาตัวเกมอยู่อย่างต่อเนื่อง เพิ่มคอนเทนต์ใหม่ ๆ ให้ตัวเกมตลอด และที่สำคัญ มันอัปเดตฟรีทั้งหมด เรียกได้ว่าเสียเงินซื้อเกมทีเดียว คุ้มแล้วคุ้มอีก จนกระทั่งมีผู้เล่นบางส่วนขอให้ขายเถอะ เกรงใจ..

สานต่อความสำเร็จโดยส่งไปลงเครื่องอื่นและอัปเดตฟรีมหาศาล

อย่างที่บอกวา่ Eric Barone แกใจดีมากที่คอยอัปเดตคอนเทนต์ใหม่ ๆ ให้ฟรี แถมการเข้ามายื่นมือสนับสนุนของ Chucklefish ยังทำให้เขาพัฒนาระบบออนไลน์มัลติเพลเยอร์เข้ามาได้ นอกจากนั้นตัวเกมยังกระจายไปลงให้กับทุกเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น Console อย่าง PS4 และ XBOX One รวมไปถึง macOS และ Linux ลากยาวไปจนถึงสมาร์ทโฟนทั้ง iOS และ Android และที่โดดเด่นที่สุดคือการที่เกมนี้จะเข้าไปอยู่ใน Tesla Arcade ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้านวัตกรรมของ Elon Musk อีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังคงอัปเดตตัวเกมแบบฟรี ๆ ให้กับทุกเครื่องทุกแพลตฟอร์ม ชนิดที่ว่าเกมเมอร์ทุกคนเกรงใจจนต้องบอกว่า คิดเงินเถอะพี่ แต่ก็แน่นอนว่าเขายังคงอัปเดตให้ฟรีอยู่ดี จนหลายคนยอมทั้งกายและใจ ยกให้เกมนี้ และผู้พัฒนาเป็นสุดยอดของวงการเกมกันเลยทีเดียว

สังเกตได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มาจากความคิดของ Eric Barone ในตอนแรก แค่เขาอยากจะลองสร้างเกมที่เขาชอบและอยากเล่น (เขาอยากแก้ปัญหาหงุดหงิดที่เขาเจอใน Harvest Moon) และด้วยความรัก ความใส่ใจของเขา ก็พาให้เขามาถึงจุดนี้ และถึงแม้เขาประสบความสำเร็จชนิดที่ว่ามีกินมีใช้ไปทั้งชีวิตแล้ว แต่เขาก็ยังคอยดูแลพัฒนาตัวเกมเรื่อยมา และนี่แหละครับ สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าถ้าเรารักในการทำอะไรจริง ๆ แล้วล่ะก็ มันอาจจะมีเงาของความสำเร็จแฝงมาโดยที่คุณไม่รู้ตัวก็เป็นได้

 

Aisoon Srikum

Back to top