หากเราพูดถึงเกมแอคชั่นแบบเดินหน้าต่อยตีหรือ Beat em up เชื่อว่าแฟนเกมรุ่นเก่าหลายคนน่าจะนึกถึงเกมอย่าง Kunio Downtown หรือ Final Fight ที่เป็นเกมระดับตำนานกันก่อนแน่นอน ไม่ว่าจะด้วยระบบการเล่นสไตล์อาร์เคตอันสนุกสนาน หรือการตะลุยด่านด้วยท่าต่อสู้อันสะใจก็ตาม
แต่แน่นอนว่ามีอีกเกมที่ทำได้ดีและสนุกไม่แพ้สองเกมที่กล่าวมา มันมีดนตรีประกอบที่ติดหู ท่วงท่าต่อยตีสุดอลังการ และศัตรูที่เป็นเอกลักษณ์ นี่คือเกม Beat em up ที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของแฟนเกม และกำลังจะมีภาคต่อออกวางจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้อย่าง Streets of Rage นั่นเอง
สำหรับผู้เล่นชาวไทยไม่ว่าเป็นเกมเมอร์รุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อของ Streets of Rage มาก่อนในสมัยเด็ก
เพราะมันเป็นเกมที่วางจำหน่ายให้กับเครื่อง Mega Drive หรือ Sega Genesis ที่ได้รับความนิยมน้อยกว่า Super Famicom ที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง แถมตัวเกมที่วางขายในบ้านเราก็ใช้ชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า Bare Knuckle อีกต่างหาก เรียกว่าเป็นเกมที่หลายคนน่าจะมองข้ามไปได้อย่างง่ายดายพอสมควรทีเดียว
Streets of Rage หรือ Bare Knuckle เป็นผลงานของค่าย Sega ที่วางจำหน่ายภาคแรกในปี 1991 โดยลงให้ทั้งเครื่อง Mega Drive, Sega CD และ Game Gear หลังจากที่ทาง Sega มั่นใจกับยอดขายและยอดผู้เล่นของเกม Golden Axe เกม Beat em Up สไตล์แฟนตาซีที่ทำออกมาหลายภาค คราวนี้พวกเขาจึงลองของใหม่ สร้างเกมต่อยตีข้างถนนที่อิงกับยุคสมัยปัจจุบัน และดนตรีประกอบเร้าใจ
เนื้อเรื่องของ Streets of Rage นั้นไม่มีอะไรซับซ้อน มีเพียงแค่เมืองอันสงบสุขที่ถูกรุกรานโดยองค์กรอาชญากรรม และพยายามเข้าแทรกแซงหน่วยงานผู้ดูแลความปลอดภัยของเมือง ทำให้เมืองเกิดความวุ่นวายและมีคดีความรุนแรงเกิดขึ้นทั้งเมือง ร้อนถึง Blaze อดีตตำรวจสาวที่ต้องเข้ามาปกป้องชาวเมืองจากความรุนแรงทั้งหลายนี้ด้วยตัวเอง
ถ้าเราว่ากันด้วยระบบการเล่น Streets of Rage ก็มีจุดที่แตกต่างจากเกมอย่าง Final Fight อยู่พอสมควร
เพราะตัวละครทั้งสามนั้นมีท่าโจมตีที่แตกต่างกันแบบชัดเจนมาก เช่น Axel ที่อัดแรงต่อยเร็ว Blaze ที่มีท่ากระโดดโจมตีหลากหลาย และที่แตกต่างชัดเจนคือตัวของศัตรูที่มีรูปแบบการโจมตีแตกต่างกันแบบสิ้นเชิง หรือศัตรูที่ตัวใหญ่ก็จะไม่สามารถจับทุ่มได้เพราะตัวของมันจะตกลงมาทับเราก่อนนั่นเอง
อีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบเกมนี้มากก็คือ Soundtrack ของเกมที่มาในสไตล์ Electronic แบบติดหู ซึ่งความดีความชอบเหล่านี้ต้องยกให้กับคุณ Yuzo Koshiro นักประพันธ์เพลงจากวิดีโอเกมชื่อดัง ซึ่งงานเพลงในเกมนี้ช่วยส่งให้เขาเป็นที่รู้จักของแฟนเกมอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันนี้เราก็ยังได้เห็นผลงานของเขาออกมาให้ได้ฟังกันอย่างต่อเนื่อง เช่น Wangan Midnight Maximum tune เกม Arcade Racing ยอดนิยม และ Secret of Mana ภาคปี 2018 นั่นเอง
ด้วยความสนุกที่ต่อยอดมาจากเกมแนว Beat em Up เกมอื่นในตลาดได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้ Streets of Rage เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากสำหรับแฟนเกมบนเครื่อง Mega Drive ทั้งความสนุกและท้าทายของศัตรูที่อยู่ในระดับกำลังดี เพลงประกอบเร้าใจติดหู และยิ่งสนุกขึ้นทวีคูณเพราะผู้เล่นทั้งสองฝั่งสามารถสร้างท่วงท่าคอมโบร่วมกันได้มากมาย(แต่อาจจะต้องระวังการต่อตีโดนกันเองในบางจังหวะ)
และเพราะความสำเร็จนี้ทำให้ตัวเกมมีภาคต่อออกมาอีกสองภาค โดยเฉพาะภาคที่สองที่ยกระดับการเล่นขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ด้วยระบบการกดท่าไม้ตายพิเศษที่ไม่ใช่แค่การอัดศัตรูให้กระเด็นเพื่อป้องกันการโดนล้อม แต่เป็นท่าคอมโบอันรุนแรงที่สร้างสรรค์รูปแบบการโจมตีที่เป็นรูปแบบเฉพาะของตัวละครนั้น ๆ ไปเลย ซึ่งในภาคสองนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นระบบนี้ในเกม Beat Em up ทั่วไป และมันก็ช่วยเพิ่มความลึกของระบบการเล่นให้เกมแนวนี้ไปอีกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วย
แม้ในช่วงที่ผ่านมาตัวเกมจะหายไปจากสารระบบของวงการมานานเกือบยี่สิบปี แต่แฟนเกมที่ชื่นชอบและยังระลึกถึงเกมซีรีส์นี้ก็ยังคงต่อยอดสร้างเกมเสริมในรูปแบบที่เรียกว่า MUGEN สร้างฉาก ตัวละคร และใส่ท่าไม้ตายลงไปให้ผู้เล่นแต่ละคนสามารถปรับแต่งรูปแบบของฉากและท่าต่อสู้ได้ตามต้องการ แม้บางอย่างจะดูเวอร์ไปนิดแต่ก็ออกมาดูดีในหลายภาคส่วน
และในที่สุด Streets of Rage 4 ภาคต่ออย่างเป็นทางการที่ได้รับการสานต่อโดยแฟนเกมที่แท้จริงก็จะได้วางจำหน่ายแล้วในวันพรุ่งนี้ เรียกว่าการรอคอยอันยาวนานนี้ก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้วเสียที ด้วยระบบการเล่นใหม่ที่น่าดึงดูด ตัวละครทั้งหน้าเก่าและใหม่ และที่น่าตกใจคือความกล้าของทีมงานที่ใส่ Sprite ตัวละครของภาคเก่าลงมาในเกมนี้แบบบไม่ตัดทอนใด ๆ เรียกว่าเอาใจทั้งคนเล่นใหม่และเก่ากันแบบเต็มเหนี่ยวกันไปเลย
แม้ Street of Rages จะเป็นชื่อที่คนส่วนใหญ่ลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่คนส่วนน้อยที่ยังคงหลงรักและโหยหาสิ่งที่เกมนี้เคยส่งมอบให้ในอดีตยังคงดูแลรักษาและต่อยอดมันออกมาไปจนคืนชีพกลับมาได้ในปัจจุบัน น่าลุ้นว่าหากเกมภาคที่สี่ประสบความสำเร็จในระดับน่าพอใจแล้ว เราจะได้มีโอกาสเห็นภาคต่อของเกมนี้ในอนาคตออกมาอีกหรือไม่ต่อไปกันครับ