หลังจากสัมผัสไปราว 7 ชั่วโมง เราก็ขอเอาประสบการณ์ที่ได้มาเล่าให้กับท่านผู้อ่านชาว GamingDose ฟังกันในวันนี้
ขอเริ่มที่ด้านเนื้อเรื่องก่อน Naughty Dog ยังคงรักษามาตรฐานในการสร้างเรื่องราวที่ตราตรึง เข้าถึงอารมณ์ผู้เล่นอย่างที่สุด ถ้าคุณยังอารมณ์ค้างกับภาคแรกมาร่วม 7 ปี นี่คือเกมที่มันจะสานต่อความประทับใจนั้นอย่างเต็มเปี่ยม แต่จากบรรยากาศของ ‘ความรัก’ ที่ก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ แบบในภาคแรก
ในภาคนี้มันจะเป็นบรรยากาศของ ‘ความชัง’ ที่จะถูกบอกเล่าแบบติดดิน คลุกฝุ่น ตามสไตล์ของ The Last of US (หรือถึงขั้น ทุรนทุราย เลยก็ว่าได้สำหรับภาคนี้) ซึ่งเราเองก็อยากจะบรรยายความยอดเยี่ยมของมันให้มากกว่านี้ แต่เพื่อไม่เป็นการเปิดเผยอะไรมาก เราขอเชิญท่านผู้อ่านรอสัมผัสเองจะดีที่สุด
ในด้านของเกมการเล่น สำหรับใครที่เคยผ่านภาคแรกมาแล้ว พอได้กด New Game ขยับตัวละครครั้งแรก คุณจะรู้สึกเหมือนเดิมแทบทุกอย่าง ทั้งปุ่มควบคุม น้ำหนักการขยับตัวละคร การเก็บของ การคราฟไอเทม ใครที่คล่องกับภาคแรกมาแล้วคุณจะเล่นภาคนี้ได้แบบไม่ต้องฝึก จนคุณอาจจะอยากข้ามการสอนทุกอย่างไปเลย ซึ่งเอาจริง ๆ ในช่วง 2 ชั่วโมงแรก คุณจะรู้สึกเหมือนไม่ได้เล่นเกมใหม่ เหมือนเป็นเนื้อเรื่องเสริมของภาคแรกเฉย ๆ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน คุณจะเริ่มเปลี่ยนความคิด ถึงมันจะยังเป็นเกมเดิม กฏของการเอาตัวรอดแยังเป็นแบบเดิม แต่มันเต็มไปด้วยลูกเล่นใหม่ที่ทำให้เกมดุเดือดและสนุกมากขึ้น ในหนึ่งฉากที่เราจะได้เข้าไปเดินเล่น จะมีดีไซน์คล้ายกับฉากขับรถในทุ่ง มาดากัสการ์ ของเกม Uncharted 4 ที่จะเป็นพื้นที่เปิดขนาดใหญ่พอประมาณที่เราจะมีอิสระในการสำรวจ มีสถานที่เล็ก, ใหญ่ ให้เราเข้าไปเดินเล่น หรือจะตรงไปหาจุดของภารกิจหลักเลยก็ได้ ใน The Last of Us Part 2 ก็จะใช้แนวคิดเดียวกัน แต่การสำรวจจะสำคัญกว่าใน Uncharted 4 มาก ๆ ด้วยความที่เกมนี้คือเกมแบบเอาตัวรอด ทรัพยากรแต่ละอย่างล้วนมีค่า ทำให้เราไม่อยากพลาดไอเทมและทรัพยากรทุกที่
และในบางจุดมันจะถึงกับมีอาวุธใหม่หรือของอัพเกรดที่ทำให้เราเก่งขึ้นเลยทีเดียว (อย่างเช่น สายสะพายปืน 2 หรือซองปืนพกที่ 2 จะไม่ได้จากการคราฟอีกแล้ว คุณต้องได้มาจากการสำรวจ) แต่นั่นไม่ใช่อย่างเดียวที่คุณจะได้พบจากการสำรวจ ในบางจุดคุณอาจจะได้เจอฉากพิเศษหรือเนื้อหาใหม่ที่ทั้งน่าสนใจและได้อารมณ์ ดังนั้นคุณจะไม่อยากข้ามการสำรวจของเกมนี้เลย
และเสน่ห์ที่ขาดไม่ได้ของ The Last of Us นั่นคือความท้าทาย ดุเดือด ระหว่างการปะทะ The Last of Us ไม่ใช่เกมแบบ Uncharted ที่เราจะวิ่งใส่กันแบบพระเอกหนังบู๊ แต่เราต้องเอาตัวรอดด้วยสภาวะที่จำกัด ใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้าม และในภาคนี้เขาก็ทำให้มันถึงใจยิ่งกว่าเดิม เอลลี่ จะเป็นตัวละครหลักที่เราเล่นในภาคนี้ ซึ่งเธอจะต่างจาก โจเอล
ในภาคที่แล้วนิดหน่อย ในขณะที่ โจเอล จะเป็นตัวเอกร่างใหญ่ ต่อยหนัก แต่ไม่ได้มีความคล่องตัวมากนัก เอลลี่ จะเป็นตัวละครที่พริ้วไหว หลบหลีกคล่องแคล่ว แต่ก็ถูกศัตรูใช้แรงเอาชนะได้ง่าย ๆ ทำให้เราต้องเปลี่ยนความคิดจากภาคที่แล้วระดับนึง
ในภาคนี้ เอลลี่ สามารถคลานต่ำเพื่อเนียนไปกับฉาก ในจุดที่เป็นหญ้าความสูงไม่มากก็จะช่วยพรางตัวได้ระดับหนึ่ง และเราสามารถยิงอาวุธจากท่าหมอบคลานได้ทุกทิศทาง ทำให้มันได้อารมณ์ของการ Stealth ในแบบของ Metal Gear Solid เลยทีเดียว และ เอลลี่ สามารถหลบการโจมตีของศัตรูด้วยการกดปุ่ม ‘วิ่ง’ ให้ถูกจังหวะ แล้วโจมตีสวนกลับ ทำให้การต่อสู้ระยะประชิดไม่ใช่แค่การรัวปุ่ม สี่เหลี่ยม เหมือนภาคที่แล้ว แต่เราต้องคอยดูจังหวะที่ศัตรูจะโจมตีสวนเราด้วย ซึ่งจริง ๆ นี่ก็ไม่ใช่ระบบใหม่ มันคือระบบของการกด Counter ระหว่างสู้ระยะประชิดของเกม Uncharted แต่มันจะกดยากกว่า เพราะมันไม่มีจังหวะให้เห็นชัด และบางทีเราจะต้องกดหลบเท่านั้น เพราะเราไม่สามารถวิ่งหนีศัตรูได้
ยิ่งฉากของภาคนี้จะมีความลึก เปิดกว้าง และซับซ้อนกว่าในภาคที่แล้ว ทำให้การต่อสู้กับทั้งคน และเหล่าผู้ติดเชื้อมีความตื่นเต้นและแยบยลกว่าเดิม เหล่า AI ศัตรู จะสำรวจฉากไปทั่ว ปีนป่ายขึ้นไปสำรวจบ้านชั้น 2 กระโดดลงชานนอกหน้าต่างเพื่อหามุมสำรวจที่กว้างขึ้น แค่จุดนี้ก็ทำให้เกมยากขึ้นระดับนึงแล้ว แต่เท่านั้นยังไม่พอ ในบางฉากพวกศัตรูจะนำสุนัขล่าเนื้อมาตามล่าเราด้วย ถ้าหากเราหลบอยู่ที่เดิมนานเกินไป สุนัขจะจับกลิ่นของเราได้ และเดินมาเจอตัวเราในที่สุด ทำให้เราต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลา แต่ตัวเราเองก็จะทิ้งร่องรอยกลิ่นเป็นทางให้สุนัขดมตามมาได้ ทำให้เราต้องหาทางเบี่ยงเบนความสนใจของสุนัข อย่างเช่นการปาขวดแก้วล่อให้สุนัขไปสำรวจทางอื่น
เราต้องคิดเยอะขึ้น ทำเร็วขึ้น และยิงให้แม่นกว่าเดิม ถึงจะเอาตัวรอดในเกมนี้ได้ ขนาดผู้เขียนลองกดแค่ระดับ Hard ยังเหนื่อยสุด ๆ นี่ขนาดยังไม่ใช่ระดับ Survivor ที่เป็นระดับยากสุด หรือในตอนที่เกมออก จริง ๆ จะมีการปลดล็อคโหมด Grounded ที่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะโหดขนาดไหน แต่ด้วยความที่เรามีลูกเล่นมากมายในการเอาตัวรอด อย่างเช่น เราสามารถมุดเข้าไปใต้ท้องรถ ดักยิงศัตรูด้วยปืนใส่ท่อเก็บเสียงขวดน้ำ เก็บเงียบจากพงหญ้าด้วยลูกธนู ผู้เขียนเองก็สัมผัสได้เลยว่านี่จะเป็นเกมที่ผู้เล่นโหด ๆ จะได้โชว์เสต็ปเทพไปลง YouTube กันอย่างสนุกสนานแน่นอน
ในด้านของกราฟิก ถ้าเราเคยประทับใจ Uncharted 4 ไว้ขนาดไหน เกมนี้ก็ผลักความประทับใจนั้นขึ้นไปอีกเท่าตัว เทคนิคการเล่นแสงแบบ Ambient Occlusion ที่ผสมกับรายละเอียดฉากที่หนาแน่น ทำให้ภาพที่ออกมาดูสมจริงอย่างที่สุด หลายครั้งเลยที่ที่ผู้เขียนถึงกับต้องหยุดเล่น แล้วเดินดูความสวยงามของภาพกราฟิก ซึ่งนี่ก็ถือเป็นความเดจาวูอีกครั้ง เหมือนกับตอนที่ The Last of Us ภาคแรกออกมาให้เราเล่นบน PS3 ในเวลานั้นก็เป็นปลายยุคของเครื่อง PS3 แต่พวกเขาก็ยังสร้างภาพกราฟิกได้อย่างน่าประทับใจ
ในภาคนี้เขาก็ทำอย่างนั้นอีกครั้ง แม้ว่าปีนี้จะเป็นปลายยุคของ PS4 แต่กราฟิกของ The Last of Us Part 2 ก็ยังทำให้คนเล่นต้องตาค้าง ซึ่งคงไม่น่าแปลกใจ ถ้าเราจะได้เห็นเวอร์ชั่น Remaster แบบ 4K 60FPS บนเครื่อง PS5 ในอนาคต
และก็เป็นข่าวดีสำหรับเกมเมอร์ชาวไทยอย่างเรา The Last of Us Part 2 จะได้รับการแปลไทย 100% ซึ่งหลังจากที่ผู้เขียนได้ลองเข้าไปดูการแปลมาเองแล้วก็อยู่ในคุณภาพระดับภาพยนตร์เลยทีเดียว ดังนั้นถ้าใครที่ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง แต่อยากสัมผัสเกมนี้ก็ไม่ต้องกังวลอะไรเลย เหลือแค่อดใจรอกันอย่างเดียว (และหลบสปอยล์กันให้พ้น) พวกเราใกล้จะได้เห็นการสานต่อที่รอคอยกันแล้ว ในวันที่ 19 มิถุนายน 2020 บนระบบ PlayStation 4