พบกันอีกครั้งสำหรับคอลัมน์ ‘Pray-to-Earn’ ที่คราวนี้มาแปลกกันสักเล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เกม Play-to-Earn เสียทีเดียว 100% แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “The Sandbox” เป็นอีกหนึ่งเกมน่าจับตามอง ที่กำลังจะขับเคลื่อนตัวเองไปสู่ Metaverse… หรือ “จักรวาลนฤมิต” ที่ราชบัณฑิตยสภาเพิ่งจะบัญญัติไว้เป็นชื่อภาษาไทยมาหมาด ๆ
The Sandbox เป็นเกมแนวโลกเสมือนที่รันอยู่บนเครือข่าย Blockchain ดังอย่าง Ethereum ซึ่งนำเสนอโลกอิสระที่ผู้เล่นจะสามารถเข้าไปทำอะไรก็ได้ (สมชื่อ Sandbox) คล้ายคลึงกับเกมรุ่นพ่ออย่าง Minecraft แต่ก็มีจุดที่แตกต่างอยู่หลายประการเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้ The Sandbox ต่างจากเกมยุคก่อน ๆ นั่นคือผู้เล่นจะได้สร้างโลกอย่างที่ตัวเองต้องการขึ้นมา บน “ที่ดิน” (LANDs) ที่มีอยู่จำกัดภายในเกม ซึ่งที่ดินเหล่านี้จัดเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถซื้อขายกันได้จริง ก่อเกิดเป็นมูลค่าที่มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับทำเล และสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ทำไมที่ดินของ The Sandbox ถึงมีมูลค่า ? ส่วนหนึ่งแล้วก็เป็นเพราะมีแบรนด์ดัง ๆ มากมายมองเห็นถึงศักยภาพที่ตัวเกมจะเติบโตไปสู่ Metaverse ได้จริง ๆ และเข้ามาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับเกมนี้ ซึ่งก็มีทั้งแบรนด์เครื่องคอนโซลในตำนานอย่าง Atari, แบรนด์กีฬาระดับโลกอย่าง Adidas, The Walking Dead, Snoop Dogg, Binance รวมไปถึงยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง SoftBank ก็เข้ามาลงทุนด้วยเช่นกัน
ซึ่งเมื่อมีแบรนด์และบุคคลที่มีชื่อเสียงมาให้ความสนใจมากมาย ก็ยิ่งทำให้จักรวาลภายในเกมนี้มีโอกาสจะเต็มไปด้วยอะไรสนุก ๆ ดึงดูดให้เหล่าผู้เล่นเข้ามาร่วมลงเรือไปกับ The Sandbox ได้ไม่ยาก และก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าที่ดินบริเวณใกล้ ๆ กับแบรนด์ดังเหล่านี้ จะราคาพุ่งขึ้นไปได้ขนาดไหน
แล้วที่ดินของ The Sandbox ใช้ทำอะไรได้บ้าง ? บางคนอาจนำมาใช้เพื่อสร้างโลกส่วนตัว จัดแสดงเป็น Gallery รวบรวมชิ้นงาน NFT ที่ตัวเองสะสมมาได้, สร้างชุมชนของตัวเองขึ้นมา, ปล่อยเช่า หรือจะสร้างเป็นเกมให้คนทั่วไปเข้ามาเล่นก็ทำได้ด้วย
ฟังไม่ผิดไปแน่นอน, เพราะ The Sandbox เปิดโอกาสให้คุณสามารถออกแบบเกมของตัวเองขึ้นมาได้บนที่ดินที่มีอยู่ (ผ่านระบบ Game Maker) ซึ่งใครจะเอาไปเปิดให้เล่นฟรี หรือเรียกเก็บค่าเข้าเล่น, ทำโมเดลรายได้เป็น Play-to-Earn ก็ได้ทั้งนั้น โดยมีสกุลเงินของเกมอย่าง “SAND” เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ก็ยังเปิดกว้างให้เหล่าครีเอเตอร์สามารถสร้างผลงาน NFT สำหรับเกมนี้ขึ้นมาได้เอง ผ่านโปรแกรม VoxEdit จนเกิดเป็นชุมชนซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ (ไอเท็มต่าง ๆ ภายใน The Sandbox) ที่เต็มไปด้วยไอเดียความสร้างสรรค์ พร้อมสำหรับสร้างงานสร้างอาชีพต่อไปได้ในอนาคต
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นคำตอบว่าทำไม The Sandbox ถึงได้รับความนิยมสูง เพราะถึงแม้ว่าเม็ดเงินของเกมนี้จะเล็กกว่าฝั่ง Facebook อยู่มาก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีชาวคริปโตฯ จำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่คลางแคลงใจกับ Metaverse ในแบบฉบับของ Facebook ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไรกันแน่
ซึ่งในทางกลับกัน ฝั่งของ The Sandbox นั้นก็มีผลงานออกมาแล้วให้พอจะจับต้องได้ ที่สำคัญคืออยู่บนเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งชูความเป็น Decentralize (กระจายอำนาจ) เป็นหลักอีกด้วย ทำให้ทุกคนมีความรู้สึกว่าได้ร่วมกันเป็นเจ้าของ Metaverse นี้ และไม่ได้มีอำนาจการตัดสินใจขึ้นอยู่กับคนใดคนหนึ่ง
สำหรับใครที่ยังมองไม่เห็นภาพรวม, ปัจจุบัน The Sandbox ก็เปิดให้เราเข้าไปทดสอบในช่วง Alpha กันได้แล้ว ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมทดสอบไม่จำเป็นต้องถือครองที่ดินแต่อย่างใด ขอเพียงแค่สมัครบัญชีให้เรียบร้อย ก็พร้อมเข้าไปท่องโลกในเกมได้เลย
ในช่วงทดสอบ เราจะได้สำรวจที่ดินแปลง [0; 1] ซึ่งเป็นของทาง The Sandbox เอง โดยภายในนั้นจะมีการจัดแสดง Gallery, มี NPC มอบเควสต์เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เราได้ทำความรู้จักกับโลกในเกม, มีสถานบันเทิงให้เข้าไปพบปะกับคนอื่น และจะมีลูกเล่นอีกมากมาย ทยอยเปิดออกมาเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 20 ธันวาคมนี้
ใครที่สนใจก็เข้าไปสมัครสมาชิกและดาวน์โหลดตัวเกม Alpha กันได้ที่เว็บไซต์ : https://www.sandbox.game/en
ทั้งนี้ตัวเกมจะมีตั๋ว Alpha Pass ซึ่งจะทำให้เราได้เข้าไปร่วมสัมผัสกับประสบการณ์ Play-to-earn ของเกมนี้เพิ่มเติม รวมแล้ว 18 รายการ และมีโอกาสได้รับรางวัลเป็น 1,000 SAND พร้อม NFT สุดพิเศษจากทีมงานอีกด้วย ซึ่ง Alpha Pass จะได้รับมาจากการสุ่มแจก (ต้องถือครองที่ดิน), ร่วมสนุกกับกิจกรรมของทีมงาน หรือหาซื้อเอาที่ Open Sea ได้โดยตรง
นอกเหนือจาก The Sandbox ก็ยังมีอีกเกมอย่าง “Decentraland” ที่กำลังมุ่งเป้าจะเป็น Metaverse อยู่บนโลกคริปโตฯ ด้วยเช่นกัน ซึ่งหากมีความเคลื่อนไหวอะไรที่น่าสนใจสำหรับเกมนี้ออกมาแล้ว เราจะหยิบมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อ ๆ ไป
