เชื่อว่าในช่วงหลายปีผ่านมา แฟน ๆ ต่างก็กำลังเฝ้ารอการมาของ Metroid Prime 4 อย่างใจจดใจจ่อ เพราะเป็นภาคที่มีการเปิดตัวออกมาแล้วแบบเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็ต้องเจอกับปัญหาหลายอย่างในช่วงที่พัฒนา ทำให้จนแล้วจนรอดตัวเกมก็ยังไม่ได้ออกวางขาย
ใครจะเชื่อว่าในระหว่างนี้เอง เราจะได้เห็น “Metroid Dread” อีกหนึ่งภาคต่อของ Metroid ที่เป็นแบบ Side Scrolling เปิดตัวมาด้วยในงาน E3 ของปีนี้ และออกวางจำหน่ายก่อนอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่มีใครคาดถึง
นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของต้นตำรับเกมตระกูล Metroid ซึ่งเป็นภาคลำดับที่ 5 ของเส้นเรื่องหลักที่ห่างหายไปจากวงการถึง 19 ปี ว่าด้วยเรื่องราวความเป็นไปของตัวเอกอย่าง Samus Aran หลังจากเหตุการณ์ใน Metroid Fusion อันเป็นภาคก่อนหน้านี้
แม้ Metroid Dread จะนำเสนอมุมมองแบบ Side Scrolling แต่จริง ๆ แล้วตัวเกมก็เป็นกราฟิกแบบ 3 มิติที่มีตื้นลึกหนาบาง, มีการเปลี่ยนมุมกล้องให้เป็นแบบข้ามหัวไหล่ รวมถึงมีการย่อ-ขยายฉากให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ตลอดการเล่นจึงเต็มไปด้วยมุมมองที่สดใหม่ เสริมกับกราฟิกซึ่งถูกยกระดับขึ้นมาจากภาคก่อนแบบก้าวกระโดดจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
ผู้เล่นจะได้บังคับ Samus ออกสำรวจไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ในดาวเคราะห์ลึกลับนาม ZDR และต้องเผชิญหน้ากับ “E.M.M.I.” หุ่นสังหารสุดอันตรายที่ออกไล่ล่าเธออย่างไม่ลดละ การโดนพวกมันโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ถึงตายได้ทันที ทางเดียวที่จะกำจัดได้ก็คือต้องฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ถึงใจกลางของแต่ละศูนย์วิจัย จากนั้นก็ดูดเอาแกนพลังงานมาใช้เป็นกระสุนนัดไม้ตาย ปลิดชีพ E.M.M.I. ลงทีละตัว พร้อมกับหาทางเอาตัวรอดออกไปจากดาวดวงนี้
จุดเด่นที่สุดตลอดมาของเกมตระกูล Metroid ก็คือการออกแบบฉากอันซับซ้อน และแฝงไปด้วยกลไกลับมากมาย ซึ่งในทีแรกเราจะยังใช้งานไม่ได้ จนกว่าจะปลดล็อคความสามารถใหม่ ๆ และกลับมาแก้ไขปริศนาเหล่านี้อีกครั้งในภายหลัง โดยสำหรับ Metroid Dread ก็ยังนำเสนอความสนุกตรงนี้ได้อย่างลงตัว ไม่วนฉากไปมาจนน่าเบื่อ หรือชวนให้หลงทางจนเสียอรรถรสมากเกินไป อันเป็นผลมาจากการดีไซน์ลำดับการเล่นที่ยอดเยี่ยมของทางทีมผู้สร้าง
อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือประสิทธิภาพตัวเกมที่ดีทั้งด้านกราฟิกและ Framerate ที่ลื่นมากอย่างไม่น่าเชื่อ ชวนให้ได้อรรถรสกับทุก ๆ ฉาก Boss Fight สำคัญ จะมีเห็นว่าเฟรมตกมาบ้างเล็กน้อยในฉากคัทซีนที่ต้องซูมตัวละครเข้ามาใกล้ ๆ นอกเหนือจากนี้ก็คือลื่นไหลต่อเนื่อง ตอบรับกับแอ็กชันอันรวดเร็วของเกม ซึ่งต้องยกย่องจากใจว่าทีมงาน Mercury Steam สามารถรีดเร้นประสิทธิภาพเท่าที่มีของ Nintendo Switch ออกมาใช้ได้อย่างหมดจดแล้วทุกกระเบียดนิ้ว
ด้วยระยะห่างถึง 19 ปี ตัวเกมนี้จึงถูกออกแบบมาให้เกมเมอร์หน้าใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสกับ Metroid มาก่อนก็เล่นสนุกได้อย่างไม่มีปัญหา ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งชื่อความเป็น Metroid ไปทั้งหมด นี่จึงไม่ใช่แค่เป็นภาคที่ดีที่สุดในแฟรนไชส์ แต่ยังเป็นอีกหนึ่งเกมระดับขึ้นหิ้งที่คนมีเครื่อง Nintendo Switch ควรได้ลองสักครั้ง และก็ยังทำให้สื่อหลายเจ้า รวมถึงทีมงาน GamingDose ต่างยกย่องให้ Metroid Dread คือเกมยอดเยี่ยมด้วยเช่นเดียวกันอีกหนึ่งเกมประจำปี 2021 ปีนี้