ท่ามกลางตลาดเกมที่มีกระแสความนิยมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ทว่าเกมแนว “Metroidvania” ก็ยังคงถือกำเนิดขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะน้อยลงแต่อย่างใด
สำหรับ “Metroidvania”, นิยามอย่างง่าย ๆ ก็คือสไตล์ที่ผสมเอาจุดเด่นของ 2 เกมอย่าง Metroid และ Castlevania มาไว้ด้วยกันตรงตามชื่อ กลายมาเป็นเกมผจญภัยในโลกขนาดใหญ่ที่ไม่ได้เป็นเส้นตรง ซึ่งเริ่มแรกมาจะมีบางเส้นทางที่ถูกจำกัดด้วยประตูหรือสิ่งกีดขวาง และต้องปลดล็อคความสามารถใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้เข้าถึงฉากต่าง ๆ ได้เยอะขึ้น ซึ่งด้วยความสนุกของการสำรวจตรงนี้นี่เอง จึงทำให้ยังคงมีผู้ที่ชื่นชอบแนวทางแบบนี้อยู่มากมายไม่เคยเสื่อมคลาย
ทว่า Metroidvania ก็ไม่ใช่สูตรที่จะการันตีถึงความสำเร็จได้กับทุกเกม เพราะขณะเดียวกันก็จะต้องออกแบบฉากมาให้มีความน่าสนใจด้วย อาจจะเน้นไปที่กราฟิกอันสวยงาม หรือเน้นความลับที่ซ่อนอยู่มากมาย ดึงดูดให้ผู้เล่นกระหายที่จะค้นหา ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้พัฒนาเกมจะเลือกเดินไปในทิศทางใด
ด้วยเหตุนี้ เกมแนว Metroidvania ส่วนใหญ่ที่ได้รับความนิยม จะมาพร้อมกับไอเดียที่สดใหม่ เช่น Hollow Knight ที่มีองค์ประกอบความยากของระบบต่อสู้เพิ่มขึ้นมา, Ori ที่เน้นความสวยงามแบบหมดจดราวกับภาพวาด หรือ Dead Cells ที่ผสานความเป็น Roguelike เข้ามาด้วยเป็นต้น
อีกหนึ่งสเน่ห์ที่น่าหลงใหลของเกมแนวนี้ ก็คือโจทย์ที่ว่า “จะซ่อนอย่างไรให้เหนือชั้น แต่ไม่ยากจนไร้เหตุผล” ซึ่งจะต้องผ่านการคิดมาอย่างดีว่าผู้เล่นจะต้องใช้ไหวพริบในการหาทางลับ, ไอเท็มลับให้เจอได้ เพราะการได้ค้นพบอะไรใหม่ ๆ ด้วยตนเอง โดยที่มีตัวช่วยอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น ก็คืออีกหนึ่งความท้าทายของการเล่นเกม ที่ไม่จำเป็นจะต้องมาจากระบบการต่อสู้เสมอไป
ขณะเดียวกัน Metroidvania ก็เป็นทางเลือกของผู้พัฒนาเกมอินดี้ในอันดับต้น ๆ ด้วย เพราะพวกเขาสามารถที่จะทุ่มเทให้กับไอเดียของเกม และนำเสนอออกมาได้อย่างสร้างสรรค์ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณที่สูงเกินไปนัก เมื่อเทียบกับเกมแบบ First Person หรือเกมอื่น ๆ ที่บังคับมุมกล้องได้หลากหลายทิศทาง
ในปี 2021 นี้เอง หนึ่งในเกมต้นตำรับอย่าง Metroid ก็ได้ฤกษ์กลับมาอีกครั้งในภาคใหม่ที่ใช้ชื่อว่า “Metroid Dread” ซึ่งถือเป็นการสานต่อตำนานที่สมศักดิ์ศรี เพราะตัวเกมถูกยกระดับกราฟิกขึ้นมาแบบก้าวกระโดด, สร้างสรรค์ Gameplay ให้สนุกสะใจขึ้น และยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของ Metroid ได้เหนียวแน่นเช่นเคย
Metroid Dread ตอกย้ำให้เห็นว่าซีรีส์นี้คือเกมระดับมารดาแห่ง Metroidvania อย่างแท้จริง เพราะตลอดการเล่น เราจะได้สัมผัสถึงความเพลิดเพลินจากการสำรวจ อันมาพร้อมกับความตื่นเต้นระทึกขวัญจากการเอาตัวรอดด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งทีมงาน Mercury Steam สามารถที่จะเกลี่ยความสนุกของเกมนี้เอาไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ แม้แต่ในช่วงท้าย ๆ เกมที่เราหกคะเมนตีลังกาไปตามด่านได้อิสระขึ้นมากแล้ว ก็ยังได้เจอกับความท้าทายใหม่ ๆ ที่ไม่ทำให้รู้สึกว่าตัวเกม “แผ่วปลาย” เลยแต่อย่างใด
แม้ว่าทุก ๆ เกม Metroidvania จะไม่จำเป็นต้องเอาอย่าง Metroid Dread ไปเสียทั้งหมด แต่ด้วยการนำเสนออันเป็นธรรมชาติ, ไม่จับมือผู้เล่นมากจนเกินงาม และทำให้การสำรวจพื้นที่เดิม ๆ กลับมอบความรู้สึกที่สดใหม่อยู่เสมอเช่นนี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือองค์ประกอบที่ยอดเยี่ยม ซึ่งจะทำให้เกมนั้น ๆ ทรงคุณค่าได้ยาวนานเหนือกาลเวลาอย่างแท้จริง