โดยปกติถ้าเราพูดถึงเกมวางแผนการรบที่อยู่ในท้องตลาด เรามักจะนึกถึงเกมอย่างอย่าง Command & Conquer ที่มาในสไตล์คลาสสิก Total War กับการวางแผนแบบเข้มข้น และ Starcraft ที่คาดความเป็น Esports อย่างเต็มตัว ซึ่งผู้พัฒนาเกมในญี่ปุ่นหลายเจ้าเองก็มีการสร้างเกมวางแผนออกมาด้วยเช่นกัน แต่ก็มีอยู่เกมหนึ่งที่มีระบบเตะตาและแหวกแนวกว่าเกมอื่นไม่น้อย แม้จะเคยถูกมองข้ามไป แต่ก็ลับมาเป็นที่สนใจได้ในภายหลัง นั่นก็คือ Valkyria Chronicle นั่นเอง
ออกตัวก่อนว่าโดยปกติแล้วผู้เขียนไม่ได้ถนัดการเล่นเกมแนว Strategy แม้แต่น้อย หลายเกมที่เลือกเล่นส่วนใหญ่ก็เพราะเพื่อนชวนแทบทั้งสิ้น ก็เลยพอรู้วิธีการเล่นอยู่บ้าง แม้ไม่ได้เชี่ยวชาญ แต่ก็รู้ได้ว่าความสนุกของมันเป็นอย่างไร ทั้งการใช้แผนการที่สัมฤทธิ์ผล และอาจรวมไปถึงเนื้อเรื่องที่น่าจดจำด้วย
หากแต่เกมเหล่านี้ล้วนมีมุมมองในแบบที่แทบจะเหมือนกันหมด ด้วยหน้าจอการสั่งงานในแบบมุมกว้าง เห็นยูนิตหรือหน่วยรบของเราแบบตัวจิ๋วในเมืองใหญ่ เห็นหมดว่าศัตรูและตัวเราอยู่ตรงไหน แต่จะมี Fog of War หรือหมอกดำมาบังไว้เมื่ออยู่นอกรัศมีเพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบมากเกินไป เมื่อทำภารกิจของฉากนั้นสำเร็จก็จะชนะไป
แต่ Valkyria Chronicle ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของเกมแนว Strategy ไปในอีกรูปแบบหนึ่งที่เข้าถึงได้ง่ายและน่าดึงดูดสำหรับคนที่ไม่เคยสัมผัสกับเกมวางแผนมาก่อนได้อย่างน่าสนใจทีเดียว
สำหรับคนที่คนที่ไม่รู้มาก่อน อาจจะไม่ทราบว่าทีมพัฒนาเกมของ Sega นั้นมีอยู่หลายทีม และพวกเขาเองก็มีทีมงานพัฒนาเกมแนววางแผนการรบอย่าง Sakura Wars อยู่แล้ว ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ Valkyria Chronicle เป็นผลงานของคุณ Ryutaro Nonaka และ Suntaro Tanaka สองคู่หูนักพัฒนาเกมที่เคยสร้างเกมชั้นยอดอย่าง Skies of Acadia เกม RPG ชั้นเยี่ยมบนเครื่อง Dreamcast และ Nightshade มาแล้ว ซึ่งทั้งสองคนก็กำลังคิดที่จะทำอะไรใหม่ ๆ ร่วมกันพอดี
ทั้งสองคุยกันว่าพวกเขาอยากจะสร้างเกมแนววางแผนการรบรูปแบบที่คล้ายกับ Sakura Wars เพราะพวกเขาทั้งสองเคยแชร์ข้อมูลกับทีมพัฒนาเกมนี้อยู่บ่อย ๆ ซึ่งพวกเขาก็นำแนวคิดและระบบมาปรับใหม่และใส่ไอเดียของตัวเองลงไป แต่เปลี่ยนจากการวางแผนควบคุมหุ่นยนต์เป็นการต่อสู้ในสนามรบสเกลใหญ่แทน โดยใช้ชื่อแรกในการพัฒนาว่า Gallian Panzer แต่ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็น Valkyria Chronicle ในภายหลังนั่นเอง
เรื่องราวของ Valkyria Chronicle นั้นอยู่ในปี E. C. 1935 ที่โลกสมมติแห่งหนึ่งที่อ้างอิงจากทวีปยุโรป ที่สงครามคุกรุ่นไปทั่วดินแดน กองกำลังจากจักรวรรดิเข้ายึดครองดินแดนใหญ่น้อยด้วยกองทัพอันยิ่งใหญ่จนความเดือดร้อนเกิดขึ้นทั่วทุกย่อมหญ้า จนกลายเป็นมหาสงครามที่เรียกว่า “Second Europe War”
Welkin Gunther นักศึกษามหาวิทยาลัยหนุ่ม และบุตรชายของอดีตวีรบุรุษสงคราม ได้เห็นความโหดร้ายของสงครามที่ก่อขึ้นโดยกองทัพจักรวรรดิ ทำให้เขาต้องจำใจเข้าร่วมสงครามในฐานะผู้บัญชาการรบของ Squad 7 โดยมี Alicia Melchiott สาวน้อยวัย 19 ปีผู้มีความฝันเป็นเจ้าของร้านขนมปัง ร่วมออกรบและค้นหาเหล่าทหารกล้าเพื่อกอบกู้ดินแดนของพวกเขากลับคืนมา
หากดูจากพลอตโดยรวมแล้ว ตัวเกมนั้นมีเนื้อเรื่องไม่ต่างจากอนิเมะญี่ปุ่นมาตรฐานที่เห็นได้ทั่วไป มีเหล่าพระเอกนางเอก และเหล่ามิตรสหายที่เชื่อใจได้ และตัวร้ายที่แข็งแกร่งแต่มีปมซ่อนอยู่ ซึ่งถือว่าอยู่ในมาตรฐานของอนิเมะแนวสงครามที่มีความ Romantic Comedy แทรกเข้ามา แม้จะไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่ก็ไม่ได้แย่แต่อย่างใด แต่ก็อาจทำให้คนที่ไม่ได้อินกับการ์ตูนญี่ปุ่นรู้สึกแหยง ๆ เสียหน่อย
ทว่าสิ่งที่ทำให้เกมนี้โดดเด่นกว่าเกมอื่นคือระบบการเล่นที่แหวกแนวกว่า Strategy อื่น ๆ ด้วยการเพิ่มระบบการเล่นที่เรียกว่า BLiTZ เข้ามา โดยผู้เล่นจะได้เห็นหน้าจอสั่งการในแบบที่คุ้นเคยจากเกมวางแผนอื่น ๆ แต่เมื่อตัดเข้าสู่การออกคำสั่งของยูนิตฝั่งเรา เราจะได้ควบคุมตัวละครนั้น ๆ ผ่านทางมุมมองแบบเกมเดินหน้ายิง และการเล็งยิงอาวุธก็ทำแบบเดียวกับเกมยิงเหมือนกัน การวิ่ง เดินหรือการใช้อาวุธจะขึ้นอยู่กับเกจ AP ที่มี ยิ่งเยอะก็ยิ่งทำได้หลายอย่างในเทิร์นเดียวนั่นเอง
ซึ่งยูนิตฝั่งเราจะมีหลายแบบทั้ง Scot หน่วยสอดแนมระยะไกลที่เดินได้เร็วแต่ยิงไม่แรง Shocktrooper ทหารราบที่มีอาวุธพร้อม Lancer หน่วยต่อต้านยานเกราะที่มาพร้อมหอกยาว Sniper พลซุ่มยิงที่สร้างความเสียหายจากระยะไกล ซึ่งยูนิตแต่ละประเภทนั้นจะมีการแพ้ทางชนะทางแตกต่างกัน การเลือกยูนิตเพื่อการรบที่ได้เปรียบจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก แถมบางครั้งยังต้องเจอกับสิ่งที่ไม่คาดฝันเข้ามาอีกด้วย
ด้วยระบบการเล่นที่เรียกว่าค่อนข้างแหวกแนวมากในตอนนั้น ทำให้ Valkyria Chronicle ได้รับความสนใจจากผู้เล่นเกมสายตะวันออกที่อยากค้นหาความแปลกใหม่ และเป็นเกมชูโรงของเครื่อง PlayStation 3 ที่ออกวางจำหน่ายในยุคนั้น แถมได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกจากสื่อเกมทั่วโลก ว่ามีการผสมผสานรูปแบบการเล่นของเกมเดินยิงเข้ากับเกมวางแผนได้ลงตัวมาก จนกลายเป็นที่เล่นสนุกอย่างเหลือเชื่อทีเดียว
น่าเสียดายที่แม้คำวิจารณ์จะอยู่ในแง่บวกอย่างมาก ยอดขายของเกมกลับสวนทางอย่างไม่น่าเชื่อ ตัวเกมขายได้เพียง 77,000 ชุดในสัปดาห์แรกที่วางขายในญี่ปุ่น และ 30,000 ชุดในอเมริกา โดยรวมแล้วในยุค PS3 ตัวเกมขายไปได้ไม่ถึง 150,000 ชุดเลยด้วยซ้ำ แต่ก็กลับฟื้นขึ้นมาได้ในปี 2014 หลังวางจำหน่ายบน Steam โดยขายไปได้มากถึง 953,838 ชุด โดยรวมแล้วในเวลานี้เกมภาคแรกขายไปแล้วเกือบ 2 ล้านชุดในทุกแพลตฟอร์ม เรียกว่าแม้จะไม่ได้ขายดีระดับสิบล้าน แต่ก็เป็นการยืนยันว่าตัวเกมมีคุณภาพสมกับที่เคยได้คะแนนระดับสูงมาจริง ๆ
ปัจจุบันนี้ตัวเกมวางจำหน่ายมาจนถึงภาคที่สี่แล้ว แม้ภาคที่สองและสามของเกมจะได้รับการพูดถึงน้อยมาก แต่ภาคที่สี่นั้นก็ถือเป็นการคืนฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของซีรีส์ และยังมีโอกาสได้เข้าชิงรางวัลเกมวางแผนยอดเยี่ยมจากสื่อต่าง ๆ มากมายในปี 2018 แม้ยอดขายจะไม่ได้ปังมากก็ตาม
อย่างไรเสีย สำหรับคนที่ชื่นชอบเกมวางแผนในสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร Valkyria Chronicle ถือเป็นเกมที่มีการนำเสนอและระบบการเล่นที่ไม่เหมือนใคร แถมยังผสมผสานความเป็นเกม Action Shooter เข้าไป ซึ่งผู้เขียนก็เชื่อว่าสักวันหนึ่งซีรีส์นี้น่าจะมีการสานต่อออกมาอีกแน่นอนครับ
