VR หรือ Virtual Reality เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การเล่นเกมเหนือล้ำขึ้นไปมากกว่าเดิม จากมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปจนเสมือนกับได้เข้าไปอยู่ในโลกของเกมนั้นจริง ๆ ทว่าความเปลี่ยนแปลงนี้ก็ยังไม่ได้เห็นชัดมากจนถึงขนาดที่เกมเมอร์ทุกคนเลือกที่จะเปลี่ยนไปใช้มันหรือมาแทนที่
แต่ความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างบนโลกนี้จำเป็นต้องใช้เวลา และเทคโนโลยี VR นั้นกำลังมีแนวโน้มที่ดีมากขึ้น วันนี้เราจะมาดูกันว่า VR ในเวลานี้มีศักยภาพในระดับไหนแล้ว
ก่อนอื่นคงต้องขอเกริ่นถึงที่มาของบทความนี้กันก่อน เนื่องจากในเดือนนี้ Half-Life Alyx ใกล้จะวางจำหน่าย ผู้เขียนได้มีการพูดคุยกับคนใกล้ตัวเกี่ยวกับเกมนี้อย่างออกรสตามประสาคนชอบติดตามข่าวสารวงการเกม ซึ่งหลังจากที่ได้ดู Gameplay ของมันก็ค้นพบว่าหลายอย่างในเกมนี้ก็เหมือนกับเกม VR อื่น ๆ ที่เราเคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้ว เพิ่มเติมขึ้นมาคือความระทึกในแบบที่เกม Half-Life เคยทำไว้ในอดีต
แน่นอนว่าคนที่คาดหวังว่าจะได้เห็นความแปลกและแหวกแนวคงผิดหวังน่าดู เพราะมันก็ไม่ได้ดูแตกต่างอะไรจากเกม VR ในแนวเดียวกัน แต่ก็ไม่แน่ว่าในเกมฉบับเต็มนั้นจะมีเนื้อหรือระบบการเล่นอื่นที่น่าสนใจแอบซ่อนเอาไว้ก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ก็เลยทำให้ผู้เขียนออกไปตามหาสืบเสาะข้อมูล ว่าเครื่อง VR นั้นในเวลานี้ไปถึงไหนแล้ว อยู่ในเกณฑ์ราคาที่เราจับต้องได้หรือยัง ซึ่งก็พบว่าการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวนี้มีมาตั้งแต่ปี 1957 แล้ว หลังจากที่เคยมีการเกริ่น ๆ ถึงในนิยายแนววิทยาศาสตร์ที่ผู้ใช้งานจะสวมแว่นตาแล้วเข้าไปสู่โลกเสมือนที่ทุกอย่างล้ำจินตนาการไปหมด
จุดประสงค์ของการพัฒนาเครื่อง VR ในช่วงแรกนั้นเพื่อเอาไว้ให้ผู้ใช้ได้รับรู้ถึงประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ เช่นการเดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ หรือจำลองสถานการณ์เพื่อการฝึกซ้อม โดยเฉพาะอาชีพอย่างนักบินหรือทหารอากาศที่จำเป็นต้องฝึกฝนการบิน แต่ติดขัดเรื่องข้อจำกัดด้านงบประมาณและการบำรุงรักษา การใช้เครื่อง VR Simulator จะช่วยให้พวกเขาสามารถทำการฝึกต่อไปได้ โดยที่ไม่ทำให้งบประมาณบานปลาย
หรือกระทั่งทางการแพทย์ที่ดัดแปลงเทคโนโลยี Simulator และ VR เพื่อให้ศัลยแพทย์ผ่าตัด ฝึกกับแบบจำลองที่หากมีความเสียหายเกิดขึ้นก็จะไม่ร้ายแรงมากนัก แค่อาจจะเสียเวลาแต่ไม่เสียเลือดเนื้อของคนไข่ไปจริง ๆ หรือแบบจำลองการยิงต่อสู้ของเจ้าหน้าที่รัฐในห้อง VR ก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเครื่องกระสุนและการบำรุงรักษาอาวุธไปได้โข
ไม่ใช่แค่การจำลองสถานการณ์เท่านั้นที่มีการผสมเอา VR เข้าไปใส่ วงการเกมก็เริ่มตื่นตัวกับเทคโนโลยีนี้มาตั้งแต่ช่วงยุค 90 แล้ว ผู้พัฒนาเกมหลายรายพยายามสร้างสรรค์เกมแบบ VR ออกมามากมาย แต่เนื่องด้วยราคาที่แพงกว่าเครื่องเล่นเกมอื่น ๆ มาก และประสบการณ์ที่ได้รับยังไม่ได้ว้าวมากขนาดนั้น ทำให้มันไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร แต่ค่ายเกมหลายค่ายก็มองเห็นศักยภาพของมันอย่างชัดเจน เพียงแต่อาจต้องรออะไร ๆ ให้มันพร้อมกว่านี้
ปี 1995 Nintendo ได้ออกวางจำหน่ายเครื่องเล่นเกมพกพาที่มีชื่อว่า Virtual Boy แน่นอนว่าในวันเปิดตัวมันก็ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะเป็นเครื่องเกมที่นำเสนอโลกใหม่ในแบบสามมิติ แต่เพราะด้วยขนาดของมันที่ใหญ่เกินกว่าจะพกพาไปไหน สีในหน้าจอก็มีแต่สีแดงชวนปวดตา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลังจากนั้นมันก็เจ๊งไปตามระเบียบ
การผลักดันเทคโนโลยี VR ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นการดัดแปลงในฐานะของเครื่อง Simulator จำลองสถานการณ์ที่มีข้อจำกัดในเรื่องสถานที่ การจัดการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาของมันไม่ใช่สิ่งที่ใคร ๆ จะสามารถซื้อได้ ยิ่งทำให้ทุกคนเชื่อว่าถ้าหากพวกเขาไปถึงจุดที่ทำให้ทุกคนเห็นว่า VR เป็นสิ่งใหม่ที่มาแทนการเล่นเกมแบบเดิมได้ พวกเขาจะเป็นผู้นำในทันที
จึงไม่น่าแปลกใจที่เราได้เห็นการขับเคี่ยวในตลาด VR อย่างเข้มข้นในช่วงที่ผ่านมาจากผู้ผลิตหน้าใหม่มากมาย
เช่น Oculus ทีมพัฒนาเล็ก ๆ ที่ประสบความสำเร็จจากโปรเจกต์ Kickstarter ระดมทุนจากผู้สนใจในการสร้างแว่นตา VR สำหรับการเล่นเกม ซึ่งจากศักยภาพของพวกเขาที่ทำออกมาได้ดีเยี่ยม ทำให้ทาง Facebook เขามาขอซื้อกิจการต่อด้วยราคาสูงลิ่วถึงหลักพันล้านเหรียญ จนในตอนนี้ก็มีแว่นตาแบบ VR ออกวางจำหน่ายมาแล้วหลายรุ่น
หรือ HTC กับ HTC Vibe ที่ดูทรงพลังและสมบูรณ์พร้อมในหลายด้าน ด้วยการร่วมมือกับทาง Valve จนกลายเป็นแว่นตา VR ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาด ซึ่งตอนนี้ Valve เองก็ทำแว่นตาและเครื่องเล่น VR ของตัวเองออกมาในชื่อ Index ออกมาอีก และต้องไม่ลืม Sony กับ PSVR ที่แม้จะไม่ได้เจ๋งจนโดดเด่นเกินหน้าเกินตาเพราะข้อจำกัดของเครื่องคอนโซล แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะเข้ามาตีตลาด VR อย่างสุดกำลังของ Sony เช่นกัน
ส่วนเกมบน VR นั้นก็เริ่มที่จะมีอะไรเจ๋ง ๆ ให้เราเห็นมากขึ้น เช่น Beat Saber เกมฟันดาบเลเซอร์ตามจังหวะเพลงแสนสนุก DOOM VR ที่แม้จะไม่ได้แหวกกรอบของเกมดั้งเดิมมากแต่ก็ทำได้ดีเยี่ยม Fallout 4 VR ที่เปลี่ยนการผจญภัยใน Capital Wasteland ให้ถึงอารมณ์กว่าเคย และยังมีเกมยิบย่อยอื่น ๆ ที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าเส้นกั้นระกว่างโลกของเกมกับโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเขยิบเข้ามาใกล้กันมากขึ้นไปอีก
แต่อย่างไรเสีย แม้ทุกอย่างจะฟังดูยิ่งใหญ่ แต่เครื่อง VR ยังคงมีข้อจำกัดแบบเดิมและเป็นปัญหามาจนถึงตอนนี้คือราคาค่าตัวของมัน เพราะไม่ใช่แค่การซื้อแว่นตามาต่อกับเครื่อง PC จ่ายสามหมื่นแล้วจบเล่นได้เลย แต่ถ้าหากเครื่อง PC ของคุณไม่ทรงพลังพอก็เท่านั้น เพราะเครื่องที่สามารถรันเกมแบบ VR ได้นั้นต้องแรงมาก ถ้าเป็นสเปกเครื่องใหม่ ๆ ที่เล่นได้ลื่นก็ต้องระดับสี่หมื่นบาทขึ้นไป เรียกว่าถ้าจะเล่นเกม VR แบบจัดเต็ม ก็ต้องกำเงินในมืออย่างต่ำเกือบแสนถึงจะเล่นได้
กระนั้นเราก็เห็นแนวโน้มที่เริ่มจะเป็นมิตรกับผู้ใช้งานที่เงินน้อย เพราะผู้พัฒนาต่างก็เข็นแว่นตา VR ตัวใหม่ออกมาอย่างสม่ำเสมอ แถมมีราคาถูกลงมากเมื่อเทียบกับสมัยก่อน และในอีกสองสามปีนี้ราคาของมันจะถูกลงไปยิ่งกว่านี้ และถ้าหาก Half-Life Alyx ออกมาปังจริง ก็เชื่อได้ว่าจะมีคนสนใจอยากได้เครื่อง VR เพิ่มขึ้นอีกมากมาย รวมไปถึงผู้พัฒนาอื่นจะส่งเกม VR ออกมาแข่งมากขึ้น โดยมี Valve เป็นผู้เปิดทางให้เดินนั่นเอง
แม้บางคนอาจเห็นว่า VR ยังคงเป็นเรื่องไกลตัว แต่เชื่อเถอะว่า อีกไม่นานเกมเหล่านี้จะเข้ามาถึงตัวพวกคุณอย่างรวดเร็วชนิดที่ไม่ทันตั้งตัวกันแน่นอนครับ