หนึ่งในภูมิปัญญาของคนโบราณคือการรังสรรค์เรื่องเล่าจำนวนมากในรูปเทพนิยาย ตำนาน และนิทานสอนใจ ใช้สอนคนรุ่นหลังในยุคมุขปาฐะที่มนุษย์เรียนรู้หลักๆ ด้วยวิธีการเล่าปากต่อปาก นานนับพันปีก่อนกำเนิดของแท่นพิมพ์ และสำหรับชาวกรีกโบราณ ผู้หายใจเข้าออกเป็นตำนาน พวกเขาก็หลงใหลในละครโศกนาฏกรรม (tragedy) ที่ถ่ายทอดชีวิตตัวละครไปถึงฉากจบอันแสนเศร้า เพราะเชื่อว่าละครที่ดีนั้นสามารถยกระดับจิตใจคนดู ชำระล้างให้บริสุทธิ์ ผ่านการเข้าถึงความหดหู่เศร้าหมองอย่างลึกซึ้งถึงแก่น
ชาวกรีกโบราณไม่อยากขานใครว่า “วีรบุรุษ” หรือ “วีรสตรี” ก่อนที่เขาหรือเธอจะตายจากไป
เพราะอยากได้ประเมินการใช้ชีวิต “ทั้งชีวิต” ของคนผู้นั้นก่อน ว่าโดยรวมแล้วคู่ควรกับคำสรรเสริญเยินยอมากน้อยเพียงใด
ชีวิตของเธอหรือเขาควรเป็น “ตำนาน” หรือไม่
ผู้เขียนคิดเรื่องนี้ระหว่างเล่น Wildermyth เกมสวมบทบาท (RPG) แนว Roguelike (สุ่มทั้งเหตุการณ์ แผนที่ ตัวละคร และเรื่องราวในเกม) จากสามีภรรยา Nate กับ Anne Austin ที่รวมตัวกันในชื่อ Worldwalker Games
นี่คือเกม RPG หน้าตาน่ารักน่าชังแต่ระบบการต่อสู้สุดมันส์และมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แต่เสน่ห์ที่ทำให้ Wildermyth โดดเด่นกว่า RPG เกมอื่นก็คือ จุดเน้นที่ “เรื่องราว” และ “พัฒนาการ” ของตัวละครในทีมเรา พวกเขาแต่ละคนเริ่มต้นจากการเป็นชาวนาชาวไร่ธรรมดาๆ ที่ถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องจับจอบจับเสียมมาสู้รบปรบมือกับสัตว์ประหลาด ซึ่งในเกมนี้ก็ไม่ใช่ ก็อบลิน ออร์ค คนแคระ เอลฟ์ หรือเผ่าพันธุ์ตามขนบแฟนตาซีมาตรฐานในโลกตะวันตกที่เราคุ้นเคย แต่เป็นเผ่าพันธุ์แปลกใหม่น่าตื่นตา มีทั้งหมดห้าเผ่า บางเผ่าดูเหมือนฤาษีคลั่งลัทธิจากโลกใต้ดินอันเร้นลับ บางเผ่าเป็นหุ่นยนต์แนว steampunk อันเต็มไปด้วยปริศนา บางเผ่าดูเหมือนแมลงไปผสมพันธุ์กับมังกร (และมีพลังจิตอีกต่างหาก!) และบางเผ่าก็มีหน้าตาเหมือนสัตว์ประหลาดจากต่างดาว “ศัตรู” ที่เราต้องต่อกรด้วยเหล่านี้ล้วนแต่มีปูมหลังลึกลับน่าค้นหา ซึ่งจะค่อยๆ เผยออกมาระหว่างทาง จนสุดท้ายเราอาจค้นพบว่า พวกเขาไม่ใช่ “ศัตรู” คู่อาฆาตของเราแต่อย่างใดเลยก็ได้
เป้าหมายใหญ่ไม่ว่าเราจะเลือกเล่นแคมเปญไหนก็คือ ทีมนักผจญภัยของเราต้องพิทักษ์โลกแฟนตาซี ในเกมนี้ชื่อ Yondering Lands จากภยันตรายที่คืบคลานเข้ามา ระบบเกมสลับระหว่างฉากการวางแผนการเดินทางระหว่างเมืองต่างๆ ในโลก ฉากการต่อสู้แบบ tactical (เป็น turn-based ไม่ใช่เวลาจริงหรือ real-time) และฉากการเล่าเรื่องผ่านการ์ตูนช่องสองมิติ เมื่อเวลาผ่านไป สมาชิกในทีมของเราจะเก่งกล้าสามารถขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งอัพเลเวล เราจะได้เลือกหนึ่งในสามทักษะใหม่ที่ตรงกับคลาส (class) ของตัวละคร ซึ่งมีสามคลาส ได้แก่ นักรบ (ระยะประชิด) (warrior) นายพราน (แม่นธนู) (hunter) และ นักเวท (mystic) ใช้เวทเป็นอาวุธ
แคมเปญแต่ละแคมเปญในเกมแบ่งเรื่องออกเป็น “บท” จำนวนสามถึงห้าบท เราจะเดินทางระหว่างแคว้นต่างๆ ในโลกเพื่อเฟ้นหาสมาชิกใหม่มาร่วมทีม สร้างแนวป้องกันศัตรู ลาดตระเวนป้องกันศัตรู บุกโจมตีฐานที่มั่นของศัตรู สร้างทางเดินหรือสะพานไปสำรวจแคว้นใหม่ หรือสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ มาผลิตวัตถุดิบสำหรับสร้างหรืออัพเกรดอาวุธและเสื้อเกราะตอนจบแต่ละบท โดยจะได้โอกาสอัพเกรดก่อนประมือกับ “บอสใหญ่” ของแคมเปญด้วย ทุกภารกิจบนแผนที่โลกนี้เราสามารถส่งตัวละครในทีมตั้งแต่ 1-5 คนไปทำ ภารกิจบางอย่างต้องใช้คนมากกว่าหนึ่งคน ด้านบนของแผนที่โลกจะแสดงเค้าน์ท์เตอร์ (counter) นับเวลาถอยหลังสองอัน อันหนึ่งบอกเวลาที่ศัตรูจะบุกมาทำลายเมือง อีกอันนับถอยหลังเวลาที่ศัตรูจะเก่งขึ้นอีก (แต่มันก็เก่งขึ้นอัตโนมัติอยู่แล้วหลังการต่อสู้ทุกครั้ง)
ระบบการต่อสู้ของ Wildermyth สนุกและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราจะซูมลงมาดูทีมนักผจญภัยบนตารางคล้ายหมากรุก จะมองเห็นศัตรูก็ต่อเมื่อมันเดินเข้ามาในระยะสายตา แต่ละตาทีมเราจะเดินก่อน จากนั้นศัตรูจะเดิน แต่ละคนมี 2 แอ๊กชั่นให้ใช้ระหว่าง เดิน โจมตี หรือใช้ความสามารถอื่น ความสามารถบางอย่างต้องใช้ทั้ง 2 แอ๊กชั่น บางอย่างเป็น free action แต่ใช้ไม่ได้ทุกตา เป็นต้น นักรบ นายพราน และนักเวทล้วนท่าโจมตี ทักษะ และสไตล์การเล่นแตกต่างกัน แน่นอนว่านักรบควรอยู่ด่านหน้าเป็น “แทงก์” และปกป้องเพื่อนในทีม (ทักษะ “Guardian” หรือผู้คุ้มกัน ที่ให้โจมตีศัตรูอัตโนมัติที่เข้ามาใกล้ในระยะ 1×1 หรือ 2×2 มีประโยชน์มาก) นายพรานใน Wildermyth เป็นส่วนผสมระหว่าง ranger กับ rogue ในขนบ RPG ทั่วไป คือสามารถยิงธนูจากระยะไกลและอำพรางตัวไม่ให้ศัตรูมองเห็น
นักเวทนับเป็นคลาสที่สนุกที่สุดในเกมนี้ เพราะไม่ได้ร่ายเวทจากคัมภีร์เวทมนตร์เหมือน RPG ทั่วไป แต่นักเวทใน Wildermyth ร่ายเวทจากการ “Interfuse” หรือส่งพลังไป “หลอมรวม” กับเฟอร์นิเจอร์ ก้อนหิน ต้นไม้ กองไฟ หรือสิ่งของอื่นๆ ในฉาก จากนั้นค่อยใช้ท่าโจมตีที่ใช้ลักษณะเด่นของสิ่งที่ไปหลอมด้วย เช่น ถ้าเป็นพุ่มไม้ก็ยิงหนามแหลม ถ้าเป็นไฟก็ยิงลูกไฟ ถ้าเป็นตู้ไม้ก็ยิงเศษไม้ใส่ เป็นต้น และเมื่อนักเวทอัพเลเวล ท่าโจมตีเหล่านี้ก็จะได้อัพเกรดทั้งความแรงและท่าใหม่ๆ ที่สนุกสนานกว่าเดิมอีก
ทุกครั้งที่เราจบการต่อสู้ ศัตรูที่เราประมือด้วยก็จะเก่งขึ้นอีก อาจจะมีพลังชีวิตมากขึ้น มีเกราะมากขึ้น หรือมีสัตว์ประหลาดชนิดใหม่ในเผ่ามาร่วมรบ เราไม่มีทางกดไม่ให้มันเก่งขึ้น ต่างจากการลดเคาท์น์เตอร์เรื่องความเก่งของศัตรูบนแผนที่โลก ทุกครั้งที่เวลาเคาน์ท์เตอร์นับถอยหลังเหลือศูนย์ เกมจะแสดงผลบนจอว่าศัตรูเผ่าไหนจะเก่งขึ้นอย่างไร เรามีทางเลือกที่จะใช้ “แต้มความเป็นตำนาน” (Legacy Points) ที่ได้จากการสำรวจดินแดนใหม่ๆ และผ่านเส้นเรื่องบางจุด กดไม่ให้ศัตรูเก่งขึ้นได้ถ้าเรามีแต้มมากพอ
กลไกนี้หมายความว่า บรรดานักผจญภัยของเราจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ ก็จริง แต่ศัตรูก็จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ เป็นเงาตามตัวด้วย ยังไม่นับเหตุการณ์ตามท้องเรื่องที่จะเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเป็นระยะๆ บางครั้งตัวละครเราจะถูกดึงให้ไปทำภารกิจ (quest) ส่วนตัวอะไรสักอย่าง ก่อนจะกลับมาร่วมเดินทางกับทีม
พูดถึงเหตุการณ์ตามท้องเรื่องแล้วก็ต้องพูดถึงระบบ “พัฒนาการ” ของตัวละคร และวิธีเล่าเรื่องของ Wildermyth อันเป็นจุดที่โดดเด่นที่สุดของเกมนี้ สมาชิกนักผจญภัยของเราทุกคนไม่เพียงแต่มีปูมหลังและลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน (ใจร้อน / ช่างคิด / เพ้อฝัน / โรแมนติก / ชอบผจญภัย / กวี และนิสัยอื่นๆ หลายสิบชนิด) แต่เกมนี้จะติดตามเรื่องราวของตัวละครตั้งแต่มาร่วมทีมในวัยละอ่อน (20 ต้นๆ) จนถึงวันตาย เราจะได้เห็นฮีโร่คนโปรดเติบโต ผมดำขลับเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา จากนั้นพอถึงวัย 70-80 ก็จะใกล้ตาย (เกมจะบอกเราในฉากติดอาวุธหรืออุปกรณ์ว่า ตัวละครตัวไหนที่จะไม่อยู่กับเราในบทต่อไปแล้ว) และเมื่อฮีโร่ตายหรือเราพิชิตแคมเปญได้แล้ว นั่นก็ยังไม่ใช่ “จุดจบ” ของนักผจญภัย – เราสามารถเลือกสมาชิกคนโปรดที่อยากเจออีกในแคมเปญอนาคต ในฐานะ “ฮีโร่ในตำนาน” และได้เลือกความสามารถพิเศษบางอย่างที่เขาหรือเธอสะสมมาตลอดแคมเปญ ให้เป็น “มรดก” สำหรับเขาหรือเธอในภพถัดไป เมื่อต้องเริ่มต้นใหม่ที่เลเวล 1 เหมือนกับสมาชิกคนอื่นๆ
ระบบ Legacy แปลว่า ฮีโร่คนโปรดของเราอาจกลายเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่หลังจากที่เราเลือกเซฟเขาหรือเธอไปเล่นหลายแคมเปญติดต่อกัน เกมจะบันทึกการผจญภัยและเหตุการณ์สำคัญๆ ที่นักผจญภัยแต่ละคนประสบพบเจอใน “ประวัติ” ของเขาหรือเธอ
ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น นักผจญภัยในทีมเราจะไม่ได้ง่วนอยู่กับการทำภารกิจต่อสู้สัตว์ประหลาดอย่างเดียว แต่มี “ชีวิต” ที่หลากหลายและเปี่ยมเสน่ห์ ก่อนการต่อสู้ทุกครั้งและระหว่างการเดินทางท่องโลก เรามีโอกาสเจอ “เรื่องราว” ที่เข้ามากระทบกับตัวละครอยู่เสมอ ทุกเรื่องเล่าผ่านการ์ตูนช่องที่ให้เราตัดสินใจผลลัพธ์ และเรื่องนั้นก็อาจเป็นเรื่องราวเรียบง่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ตัวละครสองตัวเกี้ยวพาราสีจนพบรัก หรือชิงดีชิงเด่นกันจนเป็นคู่อริ (มีผลในฉากต่อสู้ด้วย) ตัวละครอีกตัวนึกครึ้มใจอยากแต่งกลอนชื่นชมธรรมชาติ บางครั้งคู่รักอาจให้กำเนิดลูกสาวหรือลูกชายที่เติบโตมาเป็นนักผจญภัยเหมือนพ่อแม่ (เราเลือกได้ว่าจะให้ตัวละครใหม่เป็นคลาสอะไร) หรือไม่อีกที ตัวละครอีกตัวอาจเจอหินลึกลับที่พอแตะแล้วซึมซับเข้าไปในร่างกาย เปลี่ยนแขนหรือขาให้กลายเป็นก้อนหินทรงพลัง (การแปลงร่างในเกมนี้มีหลากหลายรูปแบบ และทั้งหมดล้วนแต่สนุกมากเวลาเจอ)
เรื่องราวทุกเรื่องในเกมถ่ายทอดเป็นการ์ตูนช่องสองมิติสวยงาม หลายเรื่องใช้ภาษาเรียบง่ายแต่น่าหลงใหลไม่ต่างจากการได้อ่านเรื่องสั้นชั้นดีเลยทีเดียว อีกจุดที่สนุกมากคือการเล่าเรื่องระหว่างบท เมื่อจบบทหนึ่งแล้ว เกมจะขึ้นข้อความให้เราเห็นว่า การกระทำของเรามีผลให้โลก Yondering Lands ได้พบกับสันติสุขไปกี่ปี (ก่อนที่ความโกลาหลครั้งใหม่จะเริ่มต้นในบทถัดไป) จากนั้นก็ขึ้นการ์ตูนช่องบรรยายว่า ในช่วงเวลาแห่งสันตินั้น สมาชิกในทีมเราแต่ละคนใช้เวลาไปทำอะไรบ้าง บางคนอาจเปิดผับขายเหล้า บางคนกลับบ้านไปหาครอบครัว บางคนตั้งรกรากมีลูก บางคนอาจสอนเวทให้กับนักเวทรุ่นต่อไป ทั้งหมดนี้ประกอบกันทำให้เราใส่ใจกับทีม เสียใจเมื่อใครสักคนต้องตาย ไม่ว่าจะตายในสนามรบ ตายตามท้องเรื่อง หรือตายตามอายุขัยก็ตาม
Wildermyth มีโหมด multiplayer ให้เราผจญภัยร่วมกับเพื่อนๆ และมีแคมเปญแบบสุ่มนอกเหนือจากแคมเปญหลักที่เล่าเรื่องใหญ่ห้าแคมเปญ แคมเปญสุ่มจะไม่มีเส้นเรื่องใหญ่ใดๆ มีเพียงเหตุการณ์สั้นๆ ที่คาดเดาไม่ได้ล่วงหน้า (procedural campaign) ทำให้มันเป็นเกม RPG ส่วนน้อยที่เล่นแล้วเล่นอีกได้ไม่รู้เบื่อ ยังไม่นับ mods อีกมากมายที่แฟนเกมบรรจงสร้างมาต่อเติมเนื้อหาให้สดใหม่อยู่เสมอ
คงไม่มีคำสรรเสริญ Wildermyth ใดๆ ที่จะชัดไปกว่าการกล่าวว่า นี่เป็นเกมหนึ่งในจำนวนไม่กี่เกมที่ผู้เขียนคิดว่าจะไม่มีวันลบไปจากฮาร์ดดิสก์ 🙂