BY StolenHeart
6 Dec 18 11:29 am

ย้อนรอย Grand Theft Auto Vice City กับเมืองแห่งแสงสีและความรุนแรงแห่งยุค 80

517 Views

ถ้าพูดถึง GTA หรือ Grand Theft Auto ที่ผู้เล่นทั่วโลกชื่นชอบกันมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นภาค San Andreas หรือภาค V ที่เป็นภาคล่าสุด ด้วยการที่ตัวเกมมีอะไรให้ทำมากมายทั้งภารกิจหลักภารกิจย่อย แถมพัฒนาตัวละครให้แกร่งขึ้นได้จากระบบการเล่นแบบกึ่ง RPG แต่ก็ยังมี GTA อยู่อีกภาคหนึ่งที่มีเอกลักษณ์สูงมาก เป็นภาคที่มีบรรยากาศแตกต่าง น่าหลงใหลในสไตล์ย้อนยุค แน่นอนว่าจะเป็นภาคไหนไปไม่ได้นอกจากภาค Vice City นั่นเอง

ย้อนอดีตไปในปี 2001 Grand Theft Auto III สร้างปรากฏการณ์กลายเป็นเกม Action แบบ Open World สามมิติที่ประสบความสำเร็จที่สุดแห่งยุค เพราะถือเป็นเกมที่เปิดอิสระให้กับผู้เล่นให้ทำอะไรก่อนก็ได้ จะรับภารกิจเสริมที่มีอยู่เพียบ ลุยแต่ภารกิจหลัก หรือจะไม่ทำอะไรเลย เกรียนไปวัน ๆ ในเกมก็ได้หมด ทำให้มันเป็นเกมที่แหวกแนวและตื่นตาตื่นใจมากในยุคนั้น และอีกหนึ่งปีต่อมา ภาคต่อที่หลายคนรอคอยก็มาถึง และก็มาในธีมที่หลายคนชื่นชอบในชื่อว่า Vice City

Vice City เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1986 ย้อนอดีตจากภาคที่สามไปหลายสิบปี Tommy Vercetti อดีตสมาชิกผู้ภักดีของตระกูล Forelli ได้รับอิสรภาพหลังจากที่ติดคุกอยู่นานถึง 15 ปี แต่เนื่องจากหัวหน้าของตระกูลอย่าง Sonny เห็นว่า Tommy เป็นภัยและตั้งตัวเป็นใหญ่ในภายหลัง จึงออกอุบายให้ Tommy เดินทางไปยัง Vice City เพื่อเป็นนายหน้าซื้อโคเคนให้กับตระกูล เมื่อ Tommy ไปถึงและการเจรจากำลังไปด้วยดี กลุ่มติดอาวุธก็เข้ามาลอบโจมตี เอาของและเงินไปจนหมด Tommy ที่หนีรอดมาได้จึงเริ่มลงมือวางแผนเพื่อเอาตัวรอดและแพร่ขยายอำนาจในเมืองแห่งแสงสีแห่งนี้ และการสร้างตำนานของเขาด้วยฝีมือของผู้เล่นก็ได้เริ่มต้นขึ้น

GTA Vice City นั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นภาคต่อได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเรื่องราวในเกมไม่ได้ต่อเนื่องจากภาคสามใน Liberty City แถมยังย้อนอดีตไปไกลถึงยุค 80 เลยทีเดียว แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาและช่วยให้เกมมีความเข้มข้นขึ้นมาอย่างใหญ่หลวงคือการกำกับ Cut Scene ในเกมที่เริ่มความเป็นภาพยนตร์มากขึ้น และเสียงพากย์ของตัวละครในเกมก็ได้ดาราชื่อดังมากมายในยุคนั้นอย่าง Ray Liotta (Goodfellas), Danny Trejo (From Dusk Till Dawn), Burt Raynolds (Boogie Night) และท่านอื่น ๆ อีกมากมาย จนน่าจะเรียกได้ว่าเป็นภาคที่มีดาราระดับแม่เหล็กหลายคนมาร่วมงานกันมากที่สุดภาคหนึ่งเลยทีเดียว

สิ่งที่ทำให้ Vice City โดดเด่นก็คือการสร้างเมืองที่จำลองมาจาก Miami ในยุค 80 ได้อย่างไร้ที่ติ ทั้งการเลือกเพลงที่อยู่ในสถานีวิทยุอย่างพิถีพิถัน ฉากและบรรยากาศที่ยกมาจากภาพยนตร์ในยุคนั้นอย่างแนบเนียน รวมไปถึงเนื้อเรื่องแนวหักเหลี่ยมโหดสไตล์เจ้าพ่ออย่าง Scarface และ Goodfellas ที่ผสมรวมกันอย่างลงตัว เรียกได้ว่าภาคนี้เป็นภาคที่มีการดำเนินเนื้อเรื่องที่น่าติดตามมากภาคหนึ่งของซีรีส์จริง ๆ

ส่วนพัฒนาการของเกมเมื่อเทียบกับภาคที่แล้ว Vice City จัดว่ามีพัฒนาการที่เด่นชัดกว่าเดิม ภารกิจในเกมเริ่มเข้าถึงและเข้าใจได้ง่ายขึ้นกว่าภาคเก่า กราฟฟิกก็พัฒนาขึ้น แม้ในสมัยเครื่อง PlayStation 2 จะมีเฟรมเรทแค่ 30 เฟรมและภาพค่อนข้างมัว แต่ก็ถือว่าสวยงามและพัฒนาในด้านแสงเงามากขึ้นกว่าเก่า ยานพาหนะที่มีให้ขับก็มีตัวเลือกมากขึ้น ทั้งมอเตอร์ไซด์ เฮลิคอปเตอร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย และนอกจากนั้นเงินในเกมก็มีค่ามากขึ้น เพราะเราสามารถนำมันไปซื้อธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ มาครอบครองได้ ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ก็มีภารกิจให้เล่นเพื่อสร้างรายได้ที่มากขึ้นไปด้วยเช่นกัน และที่สำคัญที่คือภารกิจทั้งหลายที่ซ่อนอยู่อย่างมากมาย ทั้งการขับรถแท็กซี่ พยาบาล ตำรวจ หรือ Rampage ฆ่าศัตรูให้ครบภายในเวลาที่กำหนดด้วยอาวุธที่ให้มา และอีกสารพัดอย่างให้ผู้เล่นสนุกไม่รู้เบื่อกว่าจะครบ 100% เลยทีเดียว

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องดี ๆ ให้ผู้เล่นได้จดจำกัน Vice City เป็นภาคที่เรียกได้ว่ามีภารกิจที่ยากระดับอยากสาปแช่งคนออกแบบภารกิจอยู่หลายชิ้นทีเดียว ที่หลายคนจำได้ก็คือ Demolition Man ที่ผู้เล่นจะต้องควบคุมเฮลิคอปเตอร์ของเล่นไปวางระเบิดในตึกที่กำลังก่อสร้างอยู่ และเจ้าฮอฯ จิ๋วลำนี้ก็ไร้ซึ่งความคล่องตัว กว่าจะหันกว่าจะเหินก็ช้าอืดอาดเหลือเกิน และที่โหดร้ายคือเกมให้เวลาคุณมาแค่ 7 นาทีเพื่อวางระเบิดให้ครบทั้งสี่ลูก และภารกิจก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีสัญญาณใด ๆ ที่ผู้เล่นจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ และที่ชวนหัวร้อนคือ มันเป็นภารกิจบังคับที่จำเป็นต้องผ่านเพื่อดำเนินเนื้อเรื่องต่อไปด้วย เรียกว่าตอนนั้นทุกคนที่เล่นไปถึงแล้วน่าจะต้องติดอยู่ที่ฉากนี้หลายวันเลยทีเดียว (และอย่าลืมภารกิจขับเครื่องบิน Dodo แจกโปสเตอร์ด้วย โหดร้ายไม่แพ้กันแน่นอน)

แม้จะมีส่วนที่ชวนรำคาญใจและน่าหงุดหงิด แต่ GTA Vice City ถือเป็นเกมที่แสดงให้เราเห็นว่าวิดีโอเกมได้ก้าวไปสู่คำว่า ”บรรลุนิติภาวะ” แล้วอย่างสมบูรณ์ มันคือความสนุกของคนที่ผ่านโลกมาพอสมควรแล้วจะซึมซับมันได้อย่างเต็มที่ และแสดงให้เห็นว่าเกมนี้มีดีมากกว่าแค่การเกรียนชาวบ้านฆ่าคนไปวัน ๆ ยกระดับการเล่าเรื่องในแบบภาพยนตร์ของเกมแอคชั่นให้เด่นชัดขึ้นไปอีก และด้วยความนิยมของมันทำให้ทาง Rockstar ได้เข็นภาค Vice City Story ลงในระบบ PSP เพิ่มเติมอีกด้วย ใครที่ยังไม่เคยเล่น ตอนนี้ก็น่าจะยังหาเวอร์ชั่น Steam และบนมือถือเล่นได้ไม่ยาก แม้เวลาจะผ่านมานาน แต่นี่คือ GTA ภาคที่ดีที่สุดอีกภาคหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอนครับ

Putinart Wongprajan

เค้ก - Content Writer

Back to top