ในขณะที่แฟน ๆ ของเกมสยองขวัญกำลังเตรียมตัวรอคอยการมาถึงของเกม Silent Hill 2 ฉบับรีเมคอย่างใจจดใจจ่อ (และบางคนก็ได้เล่นกันไปแล้วหลังยอมจ่ายเพิ่ม) นี่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะกลับไปทบทวนหนึ่งในผลงานภาพยนตร์ที่มีอิทธิพลและหลอนประสาทที่สุดในประวัติศาสตร์การดัดแปลงจากวิดีโอเกม
หรือก็คือ Silent Hill ฉบับภาพยนตร์ ซึ่งออกฉายในปี 2006 ตัวภาพยนตร์นั้นกำกับโดย Christophe Gans และเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องเตือนใจว่าทำไมซีรีส์ Silent Hill ไม่ได้สร้างความหวาดผวาเพียงแค่ในวงการเกม แต่มีวัตถุดิบอันทรงพลังถึงขนาดสร้างภาพยนตร์สุดหลอนได้อีกด้วย
ตัวหนังยกและถ่ายทอดความหวาดกลัวและบรรยากาศอันแสนกดดันของซีรีส์ผลงานเกมออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านภาพและบรรยากาศที่น่าขนลุก เรียกได้ว่างานภาพของภาพยนตร์นั้นได้รับการยอมรับและคำชื่นชมจากนักรีวิวหนังและผู้ชมว่าทำออกมาได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ใครที่เคยเล่นเกมนี้จะคุ้นเคยเป็นอย่างดี ตัวเนื้อเรื่องนั้นเรียกได้ว่าเป็นการหยิบเอาเส้นเรื่องของเกม Silent Hill ภาคแรก มานำเสนอในมุมมองใหม่แบบครบเครื่อง เปลี่ยนจากบทนำของฝ่ายพ่อมาเป็นคุณแม่แทน
เนื้อหาเล่าถึงการเดินทางของโรส ดา ซิลวา คุณแม่ที่ออกตามหาลูกสาวที่หายตัวไปในเมือง Silent Hill เมืองที่เต็มไปด้วยความลี้ลับและต้องคำสาปที่บิดเบือนความจริง ทำให้เธอต้องเผชิญกับสิ่งมีชีวิตประหลาดและพลังเหนือธรรมชาติที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับคนที่รู้จักเกมอยู่แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้จับเอาหัวใจสำคัญของเกม นั่นคือบรรยากาศที่หลอนประสาท ความเงียบที่กดดัน และความกลัวที่ชวนให้หลงทาง มาแปรเปลี่ยนเป็นภาพยนตร์ที่มีชีวิตชีวาได้อย่างยอดเยี่ยม
หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้ภาพยนตร์ Silent Hill แตกต่างจากการดัดแปลงหนังจากเกมเรื่องอื่น ๆ ก็คือ ความมุ่งมั่นในการยึดถือเนื้อหาต้นฉบับของเกมแบบเข้มงวด
Gans ผู้กำกับเน้นไปที่การสร้างบรรยากาศความสยองขวัญแบบค่อยเป็นค่อยไป แทนที่จะพึ่งพาการทำให้คนตกใจแบบผิวเผินด้วย Jump Scare โผ่งผ่าง ซึ่งสร้างความรู้สึกขนหัวลุกอย่างลึกซึ้งให้กับผู้ชมได้ใกล้เคียงกับความตึงเครียดที่เกมสร้างขึ้น
ภาพยนตร์ยังใส่สัญลักษณ์ที่คุ้นเคยจากเกมเข้ามา เช่น หมอกที่ปกคลุมเมือง การเปลี่ยนแปลงระหว่างโลกที่บิดเบือน และสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอย่าง Pyramid Head จาก Silent Hill 2 ที่แม้จะโดดข้ามภาคจากเกมภาค 2 มาอยู่ในเนื้อเรื่องภาคหนึ่ง แต่ก็กลายเป็นตัวละครที่น่าจดจำในภาพยนตร์
แม้ว่าภาพยนตร์จะปรับเปลี่ยนเนื้อหาจากเกมบ้าง แต่ก็ยังคงความซื่อสัตย์ต่อแก่นแท้ของเกม
โดยเฉพาะการเน้น”ความสยองขวัญทางจิตวิทยา” เป็นอุปกรณ์การเล่าเรื่อง ซีรีส์ Silent Hill นั้นมีชื่อเสียงจากการสำรวจประเด็นที่ลึกซึ้งและมืดมน ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกผิดในใจ การบีบคั้นทางจิตใจ และความกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น แม้ว่าภาพยนตร์จะไม่ได้ลงลึกไปในประเด็นเหล่านี้เท่าเกม แต่มันก็สามารถถ่ายทอดความหวาดระแวงและความสับสนที่เป็นเอกลักษณ์ของ Silent Hill ออกมาได้ดี
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่น่าแปลกใจเพราะตัว Gans ผู้กำกับนั้นเรียกได้ว่าเป็นติ่งผลงานเกม Silent Hill แบบตัวจริง โดยเขาใช้เวลาถึง 5 ปี ในการเจรจาเพื่อขอสิทธิ์จาก Konami ทั้งส่งวีดีโอของตัวเองที่พูดถึง Silent Hill ว่ามีความหมายต่อตัวเขามากแค่ไหน แถมยังส่งบางฉากที่เขาลองถ่ายทำเอง พร้อมเพลงประกอบจากเกม ไปให้อีกด้วย
น่าเสียดายที่ผลงานหนังภาคต่ออย่าง Silent Hill: Revelation ที่ออกฉายในปี 2012 และดำเนินเนื้อหาต่อจากภาคแรกโดยตรง ทำออกมาได้ย่ำแย่ ทั้งการเปลี่ยนผู้กำกับใหม่ไปเป็น M. J. Bassett หลังตัว Gans ติดโครงการพัฒนาหนัง Onimusha ของ Capcom (ซึ่งสุดท้ายก็โดนยกเลิกกันไป)
เรียกได้ว่าเป็นหนังภาคต่อที่หลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่ เพราะตัวหนังนั้นโฟกัสไปที่เทคโนโลยี 3D และใช้ 3D ในการถ่ายทำจนทำให้ส่วนที่เหลือนั้นออกมาขาด ๆ เกิน ๆ จนล้มคว่ำในที่สุด เมื่อเรามองไปยังการมาถึงของ Silent Hill 2 ฉบับรีเมค ภาพยนตร์ Silent Hill ก็เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจว่าแฟรนไชส์นี้ได้พัฒนาตัวเองอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป แม้ว่าเวอร์ชันภาพยนตร์จะยืนหยัดเป็นการดัดแปลงที่แข็งแกร่งของเนื้อหาต้นฉบับ
แต่ฝั่งวิดีโอเกมเองก็ได้ก้าวล้ำหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับรีเมคที่กำลังจะมาถึง ซึ่งคะแนนเปิดตัวทำออกมาได้ยอดเยี่ยมพร้อมเสียงชื่นชมจากแฟน ๆ จำนวนมากที่ได้สัมผัสกันไปแล้ว (ส่วนรีวิจากเราก็อดใจรอกันหน่อย)
สำหรับแฟน ๆ ของ Silent Hill ภาพยนตร์นี้เป็นเสมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างความทรงจำในอดีตและความตื่นเต้นในอนาคต ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนเก่าที่รอคอยการรีเมคด้วยความหวัง หรือผู้เล่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามาสัมผัสซีรีส์นี้ ภาพยนตร์และเกมจะทำให้คุณได้ลิ้มรสความกลัวและความน่าพิศวงในแบบที่ไม่มีใครเหมือน ใครยังไม่เคยลิ้มลองหรือรับชมมาแล้วแต่หวนคิดถึงก็กลับไปเยี่ยมชนเมืองหมอกสยองฉบับภาพยนตร์กันได้ ถึงจะเก่ากว่า 18 ปี แต่ก็ยังดูสนุกเหมือนเดิม
ปล. ผู้กำกับ Christophe Gans ได้กลับมาจับมือกับ Konami ประกาศสร้างภาพยนตร์ฉบับ Reboot กันไว้แล้วภายในชื่อ Return to Silent Hill ซึ่งครั้งนี้กระโดดมาใช้ตัวเนื้อเรื่องของเกมภาค 2 กันด้วย ตัวหนังถ่ายทำเสร็จกันไปเมื่อต้นปี 2024 ที่ผ่านมา ดังนั้นแฟน ๆ ก็เฝ้ารอชม Silent Hill 2 ฉบับ ภาพยนตร์แบบ Remake กันได้ด้วยเร็ว ๆ นี้