อีกไม่กี่วัน พวกเราก็จะได้สัมผัสกับการผจญภัยครั้งใหม่ของเหล่านักล่าปีศาจสุดเท่ใน Devil May Cry 5 กันแล้ว ซึ่งก่อนที่ซีรีส์นี้จะมาถึงจุดนี้ได้ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะมาก และต้องใช้เวลาในการรอคอยนานจนเกือบจะลืมเลือนไป แต่รู้หรือไม่ว่า ซีรีส์คือหนึ่งในโปรเจกต์ที่เคยจะเป็นเกมภาคต่อของ Resident Evil มาก่อน ซึ่งเราจะมาแกะรอยย้อนอดีตในเรื่องนี้กัน
เรื่องราวเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคมปี 1999 สองนักพัฒนาเกมจาก Capcom คือคุณ Hideki Kamiya และ Shinji Mikami กำลังเตรียมโปรเจคในการพัฒนา Resident Evil ภาคใหม่บนเครื่อง PlayStation 2 เพื่อรับกับสหัสวรรษใหม่ที่กำลังจะมาถึง โดยในตอนนั้นคุณ Noboru Sugimura มือเขียนบทก็ได้รับมอบหมายจากคุณ Mikami ให้ลองเขียนบทของเกมที่สื่อถึงความ”เท่และโฉบเฉี่ยว” โดยจะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความลึกลับรอบกายของตัวเอก ซึ่งในช่วงแรกเขาถูกตั้งชื่อว่า Tony โดยเขาเป็นมนุษย์ที่มีพลังพิเศษ โดยจะใช้การอธิบายเกี่ยวกับพลังในแบบวิทยาศาสตร์ตามสไตล์ของ Resident Evil
แต่เมื่อคุณ Kamiya ได้ลองตรวจสอบในขั้นแรกแล้ว เขารู้สึกว่าลุคของตัวเอกอย่าง Tony นั้นดูไม่แข็งแกร่งหรือกล้าหาญพอในการต่อสู้ที่ดูผ่านมุมกล้องแบบ Fixed Camera ซึ่งก็ทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะทิ้งระบบ Prerendered ที่เป็นระบบการโหลดฉากทั้งหมดก่อนเข้าสู่พื้นที่ใหม่ที่เคยใช้ใน Resident Evil ไป แล้วเปลี่ยนระบบมุมกล้องที่เรียกว่า Dynamic camera system แทน
และด้วยหนทางใหม่ในการพัฒนาเกมนี้เองทำให้ทางทีมพัฒนาตัดสินใจเดินทางไปยังทวีปยุโรปเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจ โดยทีมงานนั้นเน้นไปที่ประเทศในเครือสหราชอาณาจักรและสเปน เก็บรูปภาพจากปราสาทเก่า ๆ ในยุคโกธิค รวมไปถึงงานสถาปัตยกรรม รูปปั้นต่าง ๆ ไปจนถึงการวางชั้นหินของสิ่งปลูกสร้าง เพื่อให้ธีมของเกม Resident Evil ภาคใหม่มีความรู้สึกเท่และคูลมากขึ้น
แต่เมื่อการพัฒนาคืบหน้าไป ทางคุณ Mikami ก็คิดว่าตัวเกมในเวลานี้นั้นหลุดกรอบจากทิศทางของ Resident Evil ไปมากเหลือเกิน เพราะมันไม่ใช่เกมแบบ Survival Horror ที่สร้างชื่อให้กับซีรีส์แม้แต่น้อย ซึ่งถ้าหากการพัฒนาเกมนี้ขึ้นไปจนสุดทาง เราก็น่าจะได้เห็นเกม Resident Evil 4 ที่มีตัวเอกชื่อ Tony ออกต่อสู้กับเหล่าสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ด้วยพลังเหนือมนุษย์ในปราสาทโบราณสไตล์โกธิคก็เป็นได้
ในที่สุดทางคุณ Mikami ก็คิดว่าตัวเกมในตอนนี้น่าจะไม่ใช่ Resident Evil แบบที่เขาต้องการ จึงไม่ได้นำมันไปสานต่อ แต่คุณ Hideki Kamiya กลับไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะเขารู้สึกว่าอะไรหลาย ๆ อย่างที่ทำมานั้นมันดีเกินกว่าที่จะทิ้งไปเปล่า ๆ จึงนำเนื้อหาของตัวเกมไปเขียนใหม่ เปลี่ยนที่มาของพลังจากแนววิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นเรื่องของเหล่าปีศาจตามตำนานต่าง ๆ และเปลี่ยนชื่อตัวละครเอกจาก Tony เป็น Dante ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับตัวเอกในวรรณกรรมชื่อดังอย่าง The Divine Comedy หรือในชื่อไทยว่า”ไตรภูมิดันเต” นั่นเอง
และการพัฒนาเกมนี้ก็เป็นหน้าที่ของทีม Team Little Devil ที่เป็นกลุ่มทีมงานจาก Studio 4 ในค่าย Capcom เอง ซึ่งระบบการเล่นก็ถูกยกเครื่องใหม่หมด โดยนำระบบการต่อสู้ในเกม Onimusha: Warlords มาต่อยอดให้ดุดันมากขึ้น แต่ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ ในระหว่างการทดสอบนั้น คุณ Kamiya เห็นว่าตัวศัตรูมีการชะงักค้างอยู่กลางอากาศ จึงคิดว่าควรใส่ระบบการต่อสู้ที่ผู้เล่นสามารถใช้อาวุธเป็นดาบและปืนผสมผสานกันเป็นท่าโจมตีที่หลากหลายมากขึ้น กลายเป็นระบบที่เรียกว่า Juggle หรือการเลี้ยงศัตรูให้ถูกอัดกลางอากาศเป็นท่าคอมโบที่สวยงาม
แต่กว่าที่จะมาถึงขั้นนี้ ก็เป็นช่วงปลายของการพัฒนาเกมแล้ว ส่วนรูปแบบการเล่นจะเป็นแบบเน้นเล่าเรื่องผ่านเป็นฉาก ๆ ไป ไม่เหมือนกับ Resident Evil ที่มีการเล่นแบบรวดเดียวแล้วเซฟเกมระหว่างทางแทน ซึ่งคุณ Kamiya ก็เล่าว่า ความยากของเกมที่คิดไว้ก็คือความยากที่ตั้งใจจะให้ผู้เล่นแบบ Casual ได้รู้สึกถึงความท้าทายด้วย
อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือตัวของ Dante เองที่มีการออกแบบออกมาหลายอย่าง โดยคุณ Kamiya คิดว่าตัวเอกของเกมนี้จะต้องมีสามอย่าง คือ “เสื้อโค้ทยาว” “เท่” และ “ไม่สูบบุหรี่” ซึ่งในยุคนั้นตัวเอกที่ดูเท่ในวิดีโอเกมหรือในอนิเมะนั้นมักจะสูบบุหรี่เกือบทุกคน ซึ่งเขาก็เห็นว่า มันน่าจะที่ทำให้ตัวละครของเขาเท่ได้โดยที่ไม่ต้องสูบบุหรี่ และก็ออกมาเป็น Dante ในแบบที่เรารู้จัก ซึ่งเขาก็มีคุณสมบัติครบถ้วน ตรงตามที่คุณ Kamiya อยากให้เขา “เป็นตัวละครที่อยากไปนั่งดื่มหรือเที่ยวสนุกด้วยกัน”
หลังจากการพัฒนาอย่างยาวนาน ในที่สุดตัวเกมก็เสร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่าง และมีชื่อว่า Devil May Cry ตัวเกมได้เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนปี 2000 และมันก็ได้รับความสนใจจากเหล่าเกมเมอร์อย่างยิ่ง ด้วยลุคของตัวเอกคนใหม่ที่เท่จับใจ ระบบการต่อสู้ที่ดูเฟี้ยวฟ้าวมาก ๆ และมันก็สนุกถึงใจ มีความท้าทายฝีมือคนเล่น จึงไม่น่าแปลกที่ Devil May Cry จะได้รับความนิยมและโกยเงินไปมากมายเมื่อวางจำหน่ายในเดือนสิงหาคมปี 2001 กลายเป็นหนึ่งในเกมขายดีของเครื่อง PlayStation 2 ไปอย่างเหนือความคาดหมายทันที
แต่หลังจากความสำเร็จของภาคแรกที่สูงเกินไป ทำให้ทาง Capcom ตัดสินใจเร่งให้ Devil May Cry มีการสร้างภาคต่อในทันทีเพื่อโกยเงิน สองปีต่อมา Devil May Cry 2 ก็วางจำหน่าย แต่เนื่องจากทีมที่พัฒนานั้นไม่ใช่ Team Little Devil เหมือนในภาคแรก และยังให้เวลาในการพัฒนาที่สั้นมากเพียง 4 – 5 เดือนเท่านั้น และในตอนนั้นก็เป็นคุณ Hideaki Itsuno ที่เป็นหัวหอกในการพัฒนาเกม แน่นอนว่าหลังจากที่เกมวางจำหน่ายก็โดนด่าไปตามระเบียบ ทั้งระบบการเล่นที่ไม่สนุกเหมือนเดิม มาดของ Dante ที่เปลี่ยนไปไม่เฮฮาเหมือนเก่า เรียกว่าดรอปลงแทบทุกอย่างจนแฟน ๆ สาปส่ง ก่อนที่คุณ Itsuno จะขอโอกาสครั้งที่สอง กลับมาแก้ตัวใน Devil May Cry 3 ได้สำเร็จในภายหลัง
และสำหรับ Devil May Cry 5 ที่กำลังจะมาในสัปดาห์นี้ ก็ถือเป็นการกำกับเกมในซีรีส์นี้เป็นครั้งที่สามของเขา และเราก็ไม่สงสัยในฝีมือของเขาอีกต่อไปว่าจะน่าเป็นห่วงหรือเปล่า แต่จะดีอย่างที่คาดหรือไม่นั้น วันที่ 8 มีนาคมนี้น่าจะได้รู้คำตอบกันครับ