3 เหตุผลทำไม Stardew Valley ถึงเป็นเกมฮิตในยุคนี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่านับตั้งแต่ยุคปี 2010 ขึ้นมา บรรดาค่ายเกมเล็กใหญ่ มีการสร้าง มีการผลักดันเกมในการพัฒนาของตนเอง ให้กลายเป็นเกมแนวแข่งขัน หลายๆ เกมถูกจัดให้ไปอยู่ในกลุ่มอีสปอร์ต มีนักกีฬาอาชีพ มีการแข่งขันที่ให้เงินรางวัลสูงมากขึ้นทุกปี ด้วยสถานการณ์ เหล่านี้ ทำให้เกมแนวแข่งขันมีผู้เล่นสูงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆ กับจำนวนผู้ชมเกมกีฬาเหล่านี้
แต่เกมเหล่านี้กลับมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งที่เด่นมากๆ คือ “หัวร้อน” และไม่ใช่การหัวร้อนที่ต้องมาเจอเกมยากๆ ตายแล้วตายอีก นั่นคือเรื่องปกติ แต่เป็นการหัวร้อนจากคนที่ร่วมเล่นด้วย เท่าที่มีประสบการณ์การเล่นเกมเหล่านี้มา คือ เรามักจะหัวร้อนเพราะคิดว่าเพื่อนร่วมทีมทำได้ไม่ดีอย่างที่เราต้องการ และมักคิดว่าเราเองทำดีแล้ว และด้วยความที่เป็นเกมออนไลน์ มีการสนทนากันตลอด อาจจบลงด้วยการด่าทอกัน
และไม่ใช่เกมที่มีการแข่งขัน แค่ชีวิตเราตอนนี้ก็ต้องแข่งขันกับทุกสิ่งอย่าง จนบางครั้ง เราก็ต้องการเกมที่เล่นแล้วรู้สึกว่ามันผ่อนคลายจากสิ่งเหล่านี้เสียบ้าง
ประกอบกับกระแสของเกม Stardew Valley กำลังกลับมา เมื่อมองย้อนกลับไป 2 ปีที่แล้วช่วงที่เกมวางขายแรกๆ ก็มียอดขายที่เกินคาดมากๆ เนื่องจากทางผู้พัฒนาได้ใส่ระบบ Co-op ลงมาให้เล่นกันแล้ว จึงน่าคิดเหมือนกันว่า เกมแนวแบบนี้มันก็ยังขายได้ และเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนอยู่ดี จากข้อมูลของ Steamdb พบว่าหลังจากเปิดระบบ Co-op ก็มีผู้เล่นพุ่งขึ้น 5 เท่าภายในวันเดียวและมีทีท่าว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ และยอดขายเกมกลับมาติด Top 10 อีกครั้ง โดยเฉพาะ Steam ฝั่งไทยเป็นรองเพียงแค่ PUBG เท่านั้น แม้กระทั่งผู้ชมบน Twitch ก็มากขึ้นเช่นกัน
และนี่คือ 3 เหตุผลที่ว่า ทำไมเกมเล็กๆ ผ่อนคลายๆ อย่าง Stardew Valley ถึงได้ทำกระแสพุ่งขึ้นมาในยุคนี้ได้
1. เหมือนได้เข้าไปอยู่อีกโลกที่ไม่วุ่นวาย
“ถ้าเรารู้จักสิ่งนั้น เราก็จะมีความสุข” คำกล่าวจากโฆษณาชื่อดัง ซึ่งหลายคน รวมทั้งผมก็งงว่า ไอ้สิ่งนั้นเนี่ย มันคืออะไร หากเราไปเล่น Stardew Valley แบบเสพเนื้อเรื่องจริงๆ จะพบว่า ตัวเอกของเรามีชีวิตเป็นคนทำงานในเมืองมาก่อน แต่มีมรดกที่ดินจากคุณปู่ แต่ต้องไปทำสวนทำไร่แทนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งดูสงบ แต่ก็ต้องต่อสู้กับระบบทุนนิยมสามานย์ของบริษัทแห่งหนึ่งที่พระเอกก็เคยทำงานอยู่ด้วย เหมือนตัวเนื้อเรื่องพยายามจะเขียนชีวิตของใครหลายคนอยู่ เกมนี้จึงทำให้ผู้คนรู้สึกอินไปกับเกมได้ง่ายๆ แม้งานภาพจะอยู่ในรูปแบบพิกเซล แตกๆ ก็ตาม สรุปแล้ว “สิ่งนั้น” ตามที่ผู้เขียนคิดได้ก็คือ “ความสงบ” ที่เกมได้มอบให้
2. ได้เล่นเกมกับเพื่อนแบบฮาๆ ไม่หัวร้อน
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเกมในยุคนี้มักทำให้เกิดอาการหัวร้อนได้ง่ายๆ แต่สำหรับเกมที่วางระบบมาให้คนในทีมเล่นด้วยกัน โดยไม่ต้องแข่งขันกันมาก (ไม่นับเรื่องแข่งกันจีบคนๆ เดียวกันนะ) มันจะทำให้เกิดความฮาแทน เราจะได้ทำอะไรเกรียนๆ ให้เพื่อนๆ ดู เหมือนกับที่เราเห็นเพื่อนทำอะไรเกรียนๆ อันนี้โคตรจะจริง ขอยกชีวิตจริงมาพูดหน่อย ปกติเพื่อนของผู้เขียนเล่นเกมแนว Moba พวก LoL บ่อย แต่ก็บ่นบ่อยๆ ว่า “เล่นไปก็แพ้” พอเกมนี้มาเท่านั้นแหละ ถึงกับพูด “มา ตาดิวกาน” คือเป็นเกมที่เล่นคนเดียวก็เพลิน เล่นกับเพื่อนก็ดีไปอีกแบบนึงเลย
3. เหมือนย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
เกม Stardew Valley มีความพยายามที่จะเป็นเกมปลูกผักแบบ Harvest Moon ยุคใหม่ และด้วยความที่เกม Harvest Moon แบบที่ทำออกมาดีนั้นหาได้ยากมากในยุคนี้ จึงสามารถดึงแฟนเกมที่เคยเล่นเกมนี้มาแต่เด็กกลับมาเล่นเกมนี้ (ขนาดภาคต่อ Harvest Moon ที่เพิ่งวางขายไปก็ยังทำไม่ดีเท่าเกมนี้เลย) และความรู้สึกที่ได้เล่นเกมนี้แบบ Co-op ก็เหมือนกับเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ที่ได้เล่นเกม Minecraft กับเพื่อนครั้งแรก ความเป็นเด็กที่ขาดหายไปช่วงหนึ่ง อาจจะเพราะการทำงาน หรือเรียนหนัก ก็ถูกเติมเต็มด้วยเกมนี้ และมันเป็นความรู้สึกที่ฟินมากกกกกก
โดยสรุปแล้ว เกมอย่าง Stardew Valley มาถูกที่ ถูกเวลาจริงๆ แม้ว่าระบบ Co-op จะออกมาช้า แต่ก็นานพอที่จะทำให้เราโหยหาและคิดถึงมัน และผลลัพธ์จากการพัฒนาเกมก็นำไปสู่เกมที่ดี มีแฟนคลับมากมาย ทุกวันนี้ใน Facebook ก็มีกลุ่มเกม Stardew Valley ที่คึกคัก และเป็นสังคมที่ดีอีกด้วย ถึอว่าเกมนี้ขึ้นมาเป็นที่พักใจของผู้คนที่รู้สึกเบื่อ หรือหัวร้อน จากเกมแนวแข่งขันได้ดีทีเดียว