จากเกมที่คนด่ายับ สับแหลกตอนเปิดตัว แต่พอเกมเปิดจริง อ้าว ดีซะงั้น เพราะอะไรมันถึงเป็นแบบนั้น เชิญพบกับ Sonic Frontiers Review
Story
Dr.Eggman หรือ Robotnik แล้วแต่คนจะเรียก ค้นพบซากโบราณสถานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานลึกลับ และวายร้ายที่ในหัวมีแต่เรื่องคิดจะยึดครองโลกอย่างเขาก็พยายามจะนำเอาพลังนี้มาใช้ แต่ก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างดึงเขาเข้าไปในโลกต่างมิติที่เรียกว่า Cyber Space ในขณะเดียวกัน Sonic และพรรคพวกสองคนอย่าง Amy และ Tails ก็เดินทางตามรอย Chaos Emerald มาจนถึงหมู่เกาะสตาร์ฟอลล์ แต่ขณะที่ขับเครื่องบินเข้าใกล้ ก็เกิดพลังงานปริศนาดูดเอาพวก Sonic เข้าไปยังมิติ Cyber Space มีเพียง Sonic คนเดียวเท่านั้นที่ฝ่าออกมาได้ เสียงปริศนาบอกเขาว่า ถ้าต้องการช่วยเหลือเพื่อน ๆ เขาก็ต้องหาวิธ๊จัดการ ไททัน สิ่งมีชีวิตปริศนาที่เป็นตัวแปรขวางกั้นระหว่างสองโลกเอาไว้ให้ได้ งานนี้การผจญภัยครั้งใหม่ของ Sonic จึงเริ่มต้นขึ้น
จริง ๆ แล้วแฟรนไชส์ Sonic มันก็ไม่ค่อยจะมีเนื้อเรื่องใหม่ ๆ นอกซะจากความบรรลัยของ Dr. Eggman ที่ตามจองล้างจองผลาญพวก Sonic ราวกับคู่เวรคู่กรรม เพียงแต่ในภาคนี้ สถานที่ที่เกิดเหตุนั้น มีตัวละครอื่น ๆ เข้ามาเสริม เช่น Sage ศัตรูตัวร้ายคนใหม่ที่เราจะได้เจอกับเธอตลอดทั้งเกม หรือพวก Koco ที่เป็นวิญญาณของชนเผ่าโบราณบนเกาะที่ต้องการไปสู่สุขคติ
คือเรียกได้ว่าเนื้อเรื่องของ Sonic ภาคนี้มันค่อนข้างที่จะทะเยอทะยานและเล่นใหญ่มาก ๆ แถมเรายังได้เห็นมิติของตัวละครต่าง ๆ ในแบบที่เราไม่เคยได้เห็นใน Sonic ภาคอื่น ๆ มาก่อน อย่างเช่นความโรแมนซ์ระหว่าง Sonic กับ Amy หรือความเป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่งกันของ Sonic กับ Knuckle ใครที่เป็นแฟน Sonic นี่บอกเลยว่าอิ่มกับเนื้อเรื่องแน่นอน ถึงแม้ว่าการนำเสนอมันจะธรรมดาไปเสียหน่อย และกับฉากจบที่คิดว่ายังไงก็ต้องมีภาคต่อแน่นอน จากเกมวิ่งตะลุยด่านเอามันสมัยก่อน มาถึงจุดนี้ได้ ถือว่าพัฒนาการด้านเนื้อเรื่องของ Sonic นั้น มาไกลและน่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว
Presentation
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Sonic นำเสนอเกมการเล่นแบบ 3 มิติเต็มรูปแบบ ก่อนหน้านี้ก็มีให้เห็นกันหลายภาคแล้ว แต่สำหรับภาคนี้ ทีมพัฒนาเขาตั้งชื่อระบบตัวเองกันใหม่ว่า Open Zone ซึ่งหลังจากที่ลองเล่นดูแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่ามันต่างจาก Open World ยังไง เพราะพื้นที่มันเป็นโลกเปิดกว้างขนาดใหญ่ มีกิจกรรมอะไรให้ทำมากมาย คือยังไงมันก็ Open World นั่นล่ะ ก็ไม่รู้ว่าเขานิยามความแตกต่างของมันว่ายังไง แต่เอาเป็นว่าเพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน ผมจะเรียกมันว่า Open World แทน
สิ่งแรกที่ได้สัมผัส คือมันเป็นอย่างที่ทุกคนบอกตั้งแต่ตอนได้เห็น Trailer คือ โลก Open World ของมันเงียบเหงามาก มันแทบไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ นอกจากศัตรูที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ตอนแรกผมก็คิดว่ามันจะเหงาไปตลอด จนกระทั่งเล่นไปเรื่อย ๆ ผมถึงรู้ว่า มันไม่ใช่อย่างที่เห็น ในความเหงาของโลก Open World นั้น สิ่งที่จัดเต็มและน่าประทับใจคือการจัดวางสิ่งที่เรียกว่า แพลตฟอร์ม เพื่อทำให้เกมการเล่นของ Sonic นั้น สนุกอย่างเหลือเชื่อ
แพลตฟอร์มต่าง ๆ ของเกมจะมีทั้งบนพื้น บนอากาศ มีทั้งรางสไลด์ แท่นเร่งสปีด แท่นกระโดด และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง และมันถูกจัดวางไว้ได้อย่างต่อเนื่องและลงตัวมาก ขอเพียงคุณไปแตะอะไรสักอย่าง มันก็พร้อมจะพาให้เจ้าเม่นสายฟ้าของเราพุ่งฉิวไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ จากบนพื้น ขึ้นสู่อากาศ หรือบนอากาศ กลับมาสู่พื้นอีกรอบ การจัดวางแพลตฟอร์มของ Sonic Frontiers เรียกได้ว่าแทบจะไร้ที่ติตลอดทุกมุม ทุกพื้นที่ คือมันทดแทนการที่มันไม่ค่อยมีศัตรูตามฉากได้เลย เพราะอย่าลืมว่าแท้จริงแล้ว Sonic มันคือเม่นสายฟ้าแห่งความเร็ว การดัดแปลงให้มันเป็น Open World ด้วยวิธีนี้ ทำให้เอกลักษณ์ของ Sonic ยังคงอยู่
และสิ่งที่ Sonic ทำได้ดีเสมอมา แต่หลายคนอาจไม่รู้ นั่นคือเพลงประกอบ ตลอดเวลาของ Sonic หลาย ๆ ภาคที่ผ่านมา เพลงประกอบแทบจะเป็นส่วนสำคัญของเกมจนหลายคนยังแซวว่าเอางบทำเพลง ไปทำเกมดีกว่า อย่างภาค Frontiers นี้ ก็ ONE OK ROCK มาทำเพลงโฆษณาให้ แต่ระหว่างเกมการเล่นก็ยังมีซาวด์แทร็กเพราะ ๆ อีกมากมายชนิดที่ว่าเล่นแล้วอยากไปหาเพลงฟัง ถ้าจะมีข้อเสียให้ตินิดหน่อยก็คือ บางเพลงมันขัดกับอารมณ์เกมมาก ในเกมวิ่งเป็นเดอะแฟลชเลย แต่เพลงประกอบบิ้วอย่างกับเกมสยองขวัญซะอย่างนั้น
และที่หลายคนน่าจะครหากันตั้งแต่เปิดตัวคือเรื่องของกราฟิก เมื่อตัวเกมเต็มออก สิ่งที่น่าประทับใจคือกราฟิกภายในเกมนี้ดูสวยกว่าตอนตัวอย่างพอสมควรเลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเครื่องเกมที่ใช้เล่นด้วย อย่างผมเล่นบน PC ก็ศามารถปรับภาพสูง ๆ เปิด 60 เฟรมเรทเล่นได้สบาย ๆ ยืนยันเลยว่าภาพของเกมดูดีกว่าที่เห็นในตัวอย่างมาก ยิ่งฉากทะเลทราย ยิ่งสวย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันมีบางช่วง บางจุดที่แอบงานเผาอยู่เหมือนกัน แต่กับเกมที่เน้นความเร็วแบบ Sonic นี้ ถ้าไม่หยุดเพ่งจริง ๆ ก็๕งไม่เห็น แต่มองอีกมุมก็เหมือนเขาลักไก่ได้ ว่าตรงไหนจะเผาหรือไม่เผา
สำหรับคอนเทนต์หลัก ๆ ของเกม เกมนี้มีแค่ Single Player ไม่มีออนไลน์หรือ Co-op และความยาวของเกมก็จัดว่าไม่ได้แย่อะไร ตอนแรกผมเล่นหมู๋เกาะแรกใกล้จบ ด้วยเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ยังคิดว่ามันสั้นไป แต่พอจบเกาะแรกเท่านั้นแหละ โอโห มาอีก 4 รวมเป็น 5 แล้วแต่ละเกาะ คือไอ้ที่เขาโปรโมทมารัว ๆ ก่อนเกมออก นั่นมันแค่ประมาณ 10% ของเกมเท่านั้น คิดแล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกระแสตอบรับไม่ดี เพราะเขากั๊กการโปรโมทแบบสุด ๆ มีฉากของเกาะอื่นแว่บมาให้เห็นบ้าง แต่น้อยมาก ทำเอาคิดว่ามีอยู่เกาะเดียวทั้งเกม ด้วยขนาดของแผนที่ในเกม ถ้าคุณไถเนื้อเรื่องรัว ๆ จริงอยูว่ามันจบได้ในเวลาไม่นาน แต่มันทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะอะไรเดี๋ยวเราจะเล่าในช่วงเกมเพลย์ แต่เอาเป็นว่าถ้าจะเล่นเกมนี้ให้จบ อย่างน้อย ๆ ก็อาจใช้เวลา 12-15 ชั่วโมง และถ้าคุณเป็นพวกชอบตามเก็บ ตามสำรวจทุกอย่างให้ครบ ยังไงเกมนี้ก็จะเอาเวลาจากชีวิตคุณไปได้สัก 20 ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วล่ะครับ
Gameplay
เมื่อการนำเสนอเปลี่ยนไป เกมเพลย์การเล่นก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย สำหรับ Sonic Frontiers ที่กลายไปเป็นเกม Open World อย่างเต็มตัวแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากจนเป็นคนละเกม สิ่งที่ผู้เล่นต้องทำใน Sonic Frontiers ก็คือการวิ่งเก็บวงแหวนสีเหลืองและการตามหา Chaos Emerald เหมือนทุกภาคที่ผ่านมา แต่คราวนี้ระบบการเล่นหลาย ๆ อย่างจะถูกปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการที่เกมถูกทำให้เป็น Open World
อย่างแรก Sonic ในภาคนี้จะมีค่าสเตตัสต่าง ๆ ทั้งพลังโจมตี พลังป้องกัน ความเร็วในการวิ่ง และจำนวนวงแหวนที่เก็บได้ แต่มันจะไม่ใช่แบบเกม RPG ที่เราต้องเก็บเลเวลอะไรแบบนั้น ในเกมนี้ ตลอดการผจญภัยในโลกของเกม ผู้เล่นมีโอกาสที่จะพบเจอกับไอเทมสองอย่างคือ Seed of Power และ Seed of Defense ก็ตรงตัวตามชื่อ หากเรานำไอเทมสองชิ้นนี้ไปมอบให้กับเหล่าชนเผ่าโบราณ เราจะได้รับการอัปเกรดพลังโจมตีและพลังป้องกันให้สูงขึ้น และอีกสองค่าคือ จำนวนวงแหวนสูงสุดที่เก็บได้ กับความเร็วการเคลื่อนที่ ที่ต้องตามเก็บพวก Koco ตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ตามแผนที่ไปส่งคืนให้กับเหล่า Elder Koco
แง่ของการออกสำรวจโลก เกมนี้จะใช้ระบบการเปิดแผนที่ที่คล้ายกับเกมอื่น ๆ คือเราต้องตามหาจุดไขปริศนาที่อยู่ในแมปจำนวนมาก และเมื่อถึงจุดไขปริศนาแล้ว สิ่งที่เราต้องทำก็คือทำตามเงื่อนไขที่ระบบกำหนด จึงจะเป็นการปลดล็อคพื้นที่ให้เราได้เห็นแผนที่ในเกมกัน ซึ่งเงื่อนไขนั้น บอกเลยว่าไม่ได้ยาก แต่มันมีความหลากหลายมาก ๆ จนทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อในการวิ่งเปิดแผนที่เลย จริงอยู่ว่ามันก็มีบ้าง บางอันที่ซ้ำกัน หรือเงื่อนไขคล้ายกัน แต่เปลี่ยนขั้นตอนนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วผมเอ็นจอยกับการไล่เปิดแมปเกมนี้มาก มันมีทั้งวิ่งไปยังจุดหมายให้ทันเวลา ใช้ Quick Cyloop ก่อกองไฟ แล้วเตะบอลเข้าประตู หรือแม้กระทั่งปริศนาอย่างการวิ่งเหยียบพื้นแสงให้ครบ และทุกปริศนา หากทำไม่ทันหรือล้มเหลว ก็เริ่มใหม่ ณ ตรงนั้นได้เลย ไม่ต้องไปเสียเวลาโหลดเช็คพอยท์หรืออะไรใหม่ให้น่ารำคาญใจ
การออกสำรวจโลกและเปิดแผนที่จะทำให้เราได้เห็นพื้นที่ต่าง ๆ ว่าจุดนี้มีไอเทม มีภารกิจหลักให้เราไปทำ หรือมี Portal ให้เราเข้าไปตะลุยด่าน Cyber Space ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของเกมภาคนี้ ในภาคนี้นั้นการที่เนื้อเรื่องของเราจะดำเนินไปได้ เราจำเป็ฯจะต้องตามหา Chaos Emerald ในโซนนั้น ๆ ให้ครบ ซึ่งการจะได้มันมานั้น เราจำเป็ฯจะต้องใช้ Vault Key ในการปลดผนึก Chaos Emerald และเจ้า Vault Key นี้ ก็๗ะได้มาจากการเล่นใน Cyber Space ที่เข้าได้ผ่านทาง Portal ใน Cyber Space จะเป็นการนำเอาเกมเพลย์การเล่นแบบเดิมของ Sonic กลับมา นั่นคือการวิ่งตะลุยด่าน
แต่จะถูกนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างกันไป เช่น วิ่งด้านข้าง หรือเป็น 3 มิติ และทำตามเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ครบก็จะได้กุญแจ Vault Key มา เงื่อนไขก็เช่น เข้าเส้นชัยในเวลานี้ เก็บวงแหวนได้เท่านี้ หรือเก็บดาวแดงให้ครบ ซึ่งข้อดีคือมันไม่จำเป็นจะต้องทำให้ครบเงื่อนไขในครั้งเดียว สมมติว่ารอบนี้ คุณเก็บดาวแดงได้ครบ แต่เวลาเกิน มันก็ฯับว่าคุณทำเงื่อนไขดาวแดงสำเร็จ การเล่นซ้ำรอบต่อไป ไปเน้นทำเวลาให้ทันก็พอ มันทำให้ไม่ยากจนเกินไป แต่บอกเลยว่า พวกฉาก Cyber Space เนี่ย เขาออกแบบมาแบบตึง ๆ อยู๋เหมือนกัน บางฉากง่าย บางฉากยาก กว่าจะผ่าน ทำเอาหัวอุ่นไปเลยก็มี แต่ก็ต้องทำ ไม่งั้นเนื้อเรื่องไปต่อไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องเคลียร์ S Rank ทุก Portal นะ เพราะจากที่ผมเล่นมา เคลียร์ Portal ละ 1-2 เงื่อนไขได้ เนื้อเรื่องก็ไปต่อได้แล้ว เว้นแต่ใครเป็นพวก Perfectionism ก็ตามเล่น ตามทำสถิติกันไป
แต่ ก่อนที่เราจะเข้าไปเล่นใน Portal หรือ Cyber Space ได้นั้น เราจำเป็นจะต้องมี Gear ที่ใช้ในการปลดล็อค ซึ่ง Gear นี้จะอยู่กับพวกมอนสเตอร์ระดับบอส และการต่อสู้กับศัตรูระดับบอสเนี่ย คือความสนุกของ Sonic Frontiers เลย มันจะไม่ใช่แค่การกลิ้งตัวชนวนไปวนมา แต่เราอาจจะต้องทำลายชิ้นส่วนบางอย่างของมัน แล้วเข้าไปโจมตี แถมบอสมีหลากหลายมาก และแต่ละตัวก็ยิ่งใหญ่อลังการมาก เอาจริง ๆ บางตัวนึกว่าอยู่ใน Shadow of Colossus หรือ Attack on Titan อะไรทำนองนั้นเลย ยิ่งทำให้เกมเพลย์การเล่นสนุกมากยิ่งขึ้น
ไม่ใช่แค่บอส แต่พวกศัตรูทั่วไปก็ไม่น้อยหน้า ถึงแม้ว่าโลกภายในเกมจะไม่ได้มีศัตรูอยู่ทั่วทุกแห่ง แต่จะมีความหลากหลายของศัตรูเข้ามาแทน บางตัวจะสร้างเกราะป้องกันไว้โดยรอบ เราจะต้อง Quick Cyloop ทำลายโล่มันก่อน หรือบางตัวก็ต้องพุ่งขึ้นไปจัดการมันบนท้องฟ้า โดยห้ามพุ่งไปโดนระเบิดมัน
สำหรับการต่อสู้อย่างที่บอกว่า ทุกที Sonic จะเป็นการวิ่งกลิ้งตัวชน แต่ภาคนี้ เราจะได้สัมผัสความเป็น Action ที่มากยิ่งขึ้น เราสามารถโจมตีแบบต่อยเตะได้ แถม Sonic ยังสามารถอัปเกรดสกิลใหม่ ๆ เพิ่ม Moveset ใหม่ ๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีศัตรูกลางอากาศ การ Parry การโจมตี การพุ่งกระแทกหลังหลบหลีก นี่คือ Sonic ที่มีความเป็น Action สูงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อให้รองรับกับจำนวนศัตรูที่เพิ่มเข้ามา
เกมเพลย์ของภาคนี้คือความลงตัวของการผสมผสาน Sonic ยุคเก่าและยุคใหม่เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว และส่วนตัวแล้วผมว่านี่คือเกมที่ “สนุก” จริง ๆ ข้อเสียสำหรับผมก็คือ การต่อสู้มันน้อยไปหน่อย คือเข้าใจว่าจุดประสงค์ของ Sonic มันคือการวิ่งเก็บวงแหวนผ่านด่าน แต่ถ้าจะดีไซน์ให้ระบบการต่อสู้ออกมาสนุกขนาดนี้ อย่างน้อยก็น่าจะเพิ่มระบบต่อสู้เข้ามาให้มากกว่านี้ มันมีแต่ศัตรูตัวกระจ้อยร่อยที่จัดการง่ายมาก กับพวกบอสตัวใหญ่ที่กินเวลาเกินไป เหมือนเขาหาตรงกลางระหว่างศัตรูสองประเภทนี้ไม่เจอ มันเลยมาแบบจิ๋วสุดกับบิ๊กเบิ้มสุดซะอย่างนั้น ถ้าเขาได้ทำภาคต่อ ผมก็หวังว่าการต่อสู้ของภาคนี้จะถูกนำไปต่อยอดและทำให้มันดีขึ้นอีก
Performance
ที่น่าประทับใจจริง ๆ คือเรื่องของ Performance ภายในเกมนี้ แม้จะเป็นโลกเปิดกว้าง แต่อาจจะเพราะ Texture ต่าง ๆ ในเกมไม่ได้เยอะ ไม่ได้เป็นตึกรามบ้านช่อง ทำให้ตัวเกมไม่ค่อยมีปัญหาด้าน Performance สักเท่าใดนัก ที่เห็นได้ชัด ๆ เลยคือ วัตถุหรือแพลตฟอร์มบางอย่าง หรือแม้กระทั่งเงาของแพลตฟอร์มนั้น ๆ จะไม่โหลด หรือจะโหลดและแสดงผลก็ต่อเมื่อเราเข้าไปใกล้ ซึ่งจากที่ผมลองเล่น ไม่ใช่ว่ามันโหลดไม่ทัน แต่เหมือนเขาจะไม่แสดงให้เราเห็นเอง
สิ่งที่น่าขัดใจที่สุดสำหรับผม แต่ก็ไม่ได้อยากหักคะแนนมากมายอะไร นั่นคือหน้าเมนูและการควบคุม Setting ต่าง ๆ มันเหมือนถูกออกแบบมาให้ใช้จอยคอนโทรลเลอร์ด้วยการกดพวกปุ่ม Q/E ในการเลื่อนแท็บต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่มันควรจะใช้เมาส์และคีย์บอร์ดได้ แต่โชคดีที่การใช้ปุ่มพวกนี้ก็ไม่ได้ยุ่งยากจนเกินไป ที่น่าแปลกใจคือ Setting Menu ของเกมนี้มันปรับได้น้อยเหลือเกิน เหมือนเขาอยากทำเกมออกมาให้มันมีลิมิต มีทุกสิ่งทุกอย่างเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ทำให้ทดลองตั้งค่าต่าง ๆ ได้น้อยมาก ๆ
ส่วนตัวแล้วผมเล่นเกมนี้บนคอมพิวเตอร์แลปทอป ที่ใช้การ์ดจอ RTX 2070 ก็ยังสามารถรันได้จนถึง 60 เฟรมเรท ซึ่งเฟรมเรทเป็นสิ่งสำคัญในการเล่นมาก ถ้าวิ่งเร็วจี๋แบบ Sonic แต่ดันกระตุก รับรองความสนุกหายหมด ซึ่งโ๙คดีที่ทีมงานทำการบ้านมาดีจริง ๆ ตลอดเวลาของการเล่นเกมนี้แทบไม่มีคำว่าเฟรมเรทตกให้เห็นเลย แม้จะเล่นบนแลปทอป และเปิดเกมเล่นไว้นานแค่ไหนก็ตาม
อีกฟังก์ชั่นนึงที่สำคัญ แม้ว่านี่จะเป็นเกมมุมมอง Third Person แต่ด้วยความเร็วและสปีดของเกมก็อาจทำให้ใครต้องตาลายไปกับเอฟเฟกต์ Motion Blur ซึ่งเกมนี้สามารถเลือกเปิด-ปิดได้ แต่ถ้าใครเล่นไหว ผมแนะนำให้เปิดเอาไว้ดีกว่า มันได้ฟีลความเป็น Sonic จริง ๆ ในหัวข้อ Performance แทบไม่มีอะไรจะต้องติ นอกจากขอหักคะแนนเล็กน้อยที่การ Settting ต่าง ๆ มีไม่มากพอ และเหมือนจะยังไม่รองรับ 144 FPS ด้วย อยากรู้จริง ๆ ว่าเร็วขนาดนี้ 144 FPS จะสนุกสะใจแค่ไหน
Sonic Frontiers คือเกมที่ใช้คำว่าสนุกได้อย่างเต็มปาก การวางแพลตฟอร์มที่สร้างสรรค์ที่ให้การสำรวจโลกในเกมสนุกอย่างเหลือเชื่อ อัดความหลากหลายเข้ามาทั้งในด้านการต่อสู้และการผจญภัยในเกม ทำให้มันเป็นเกมดีที่เซฮร์ไพรส์มากประจำปีนี้