อดีตผู้บริหาร Square Enix บอกว่ามีหลายปัจจัยที่เกม Final Fantasy ภาคใหม่ ๆ ทำรายได้ไม่ถึงเป้า
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Square Enix ออกมายอมรับว่า Final Fantasy VII Rebirth, Final Fantasy XVI และ Foamstars ทำรายได้กับกำไรต่ำกว่าที่คาดหวังไว้ ทำให้บริษัทต้องหากลยุทธ์ใหม่ที่ทำให้เกมใหม่ในปัจจุบัน และในอนาคตต้องทำรายได้เติบโตกว่าตอนนี้ ด้วยการนำเกมวางขายบนหลายแพลตฟอร์มมากขึ้น
เนื่องจาก Final Fantasy เป็นเกมซีรีส์ลูกรักของ Square Enix และปกติเกมหลายภาคจะขายดีมาโดยตลอด จึงทำให้แฟน ๆ เริ่มสงสัยว่าบริษัทตั้งเป้าหมายให้เกมซีรีส์นี้สูงเกินไปจนถึงขั้นเรียกว่า “ไม่สมจริง” ซึ่งล่าสุด Jacob Navok อดีตผู้บริหาร Square Enix ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้แล้ว
Navok เผยว่าความคาดหวังในด้านการทำรายได้ของแต่ละเกมนั้น ขึ้นอยู่กับการครอบคลุมต้นทุนในการพัฒนาและผลตอบแทนจากการลงทุน หรือหมายความว่ายิ่งเกมใช้เวลาสร้างนานเท่าไหร่ ยิ่งลงทุนมากเท่าไหร่ ทีมงานจะยิ่งคาดหวังให้เกมนั้นทำรายได้สูงมากเท่านั้น
“ความคาดหวังของรายได้โดยทั่วไปมักจะคำนวณจากต้นทุนในการพัฒนา รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุนด้วย”
Navok กล่าวว่าหากเกมใช้ทุนในการสร้าง 100 ล้านเหรียญฯ และพัฒนานานกว่า 5 ปี เกมนั้นจะต้องทำกำไร เพื่อคืนการลงทุนในตลาดหุ้นในจำนวนใกล้เคียงในช่วงเวลาเดียวกันให้ได้ นอกจากนี้ การลงทุนในด้านการตลาด, การลงแพลตฟอร์ม และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับการสร้างเกม AAA ก็ส่งผลทำให้เกมยุคนี้ใช้ต้นทุนการสร้างสูงขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย
“ในช่วง 5 ปีก่อนถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2024 ตลาดหุ้นมีอัตราผลตอบแทนโดยเฉลี่ย (ARR) อยู่ที่ 14.5% นั่นก็หมายความว่าการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเงิน 100 ล้านเหรียญฯ คุณจะได้เงินคืนมา 201 ล้านเหรียญฯ ซึ่งเราใช้เรตดังกล่าวเป็นเรตพื้นฐานในการคำนวณจุดคุ้มทุน”
“สมมุติว่าค่าโฆษณา 50 ล้านเหรียญฯ สมมุติว่าคุณขายเกมได้แผ่นละ 40 เหรียญฯ หลังหักค่า Platform อีก 30% รวมไปถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่นการลดราคา การขอคืนเงิน และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง”
There's a misunderstanding that has been repeated for nearly a decade and a half that Square Enix sets arbitrarily high sales requirements then gets upset when its arbitrarily high sales requirements fail to be met.
This was not true when I was there and is unlikely to be true…
— Jacob Navok (@JNavok) May 23, 2024
“หลังจากนั้นก็สมมุติว่าเดือนแรกคุณขายได้ 3 ล้านแผ่นโดยได้เงินจริง ๆ 40 เหรียญฯ ต่อชุด เท่ากับว่าคุณต้องขายได้ 254 ล้านเหรียญฯ เพื่อไปให้ถึงยอดขายที่ตั้งไว้ นั่นก็คือ 100 ล้านเหรียญฯ จากเงินทุน + 101 ล้านเหรียญฯ จากผลตอบแทนเฉลี่ย และ 50 ล้านเหรียญฯ ในงบการตลาด”
Final Fantsy XVI มีสถิติยอดขายล่าสุดอยู่ที่ 3 ล้านชุด ซึ่งเชื่อว่าเกมดังกล่าวอาจทำรายได้ประมาณ 120 ล้านเหรียญ ในความเป็นจริง เกม AAA หลายเกมมักใช้ต้นทุนในการสร้างประมาณ 100 ล้านเหรียญฯ ขึ้นไป ทาง Navok จึงบอกว่า Square Enix ไม่ได้ตั้งเป้ากับเกมดังกล่าวอย่างไม่สมจริง แต่เกมนั้นยังทำรายได้ไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมต้นทุนในส่วนของการสร้างและการตลาด
Navok ชี้ว่าแก่นแท้ของปัญหานี้มาจากผู้เล่นให้ความคาดหวังในตัววิดีโอเกมที่มากขึ้น จึงทำให้งบประมาณสำหรับการสร้างเกมจึงสูงขึ้นตามมา ในขณะที่เกม FF VII ฉบับ Remake ถูกสร้าง “ในตอนผู้คนมองตลอดเกมแบบปี 2015-2022” แต่อุตสาหกรรมเกมกลับเติบโตขึ้นในทุกปี
พูดง่าย ๆ ก็คือว่า Navok จะบอกว่า Square Enix ไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่สูงเกินไปในยอดขายของ Final Fantsy XVI แต่เกมดังกล่าวนั้นขายได้ไม่คุ้มทุนจริง ๆ
นอกจากนั้น ยังมีการชี้ให้เห็นถึงปัญหาอีกจุด โดยบอกว่าในตอนแรกต้นทุนที่วางไว้นั้นถูกตั้งขึ้นโดยการคาดเดาว่าตลาดเกมจะเติบโตมียอดแฟนเกมมากยิ่งขึ้น แต่ในความเป็นจริงตลาดเกมเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยการมาของกระแสเกมแนว Free to Play
“อุตสาหกรรมเกมกลายเป็นเกม Fortnite กันหมด มันเป็นอะไรที่ไม่มีใครเดาได้ในตอนปี 2015 ตอนที่ทุนสร้างเกมถูกวางแผนในตอนแรก”
“แม้แต่หลังจาก Fortnite ออกมาฮิตและ Covid เข้ามาทำให้ตลาดเกมโตไปข้างหน้า หลายคนก็เดาว่าตลาดเกมจะใหญ่ขึ้นมาก ๆ แต่สุดท้ายมันไม่เป็นแบบนั้น”