สำหรับสาวก Sony และ PlayStation ชื่อของ Uncharted คือหนึ่งในชื่อของซีรีส์ที่ยอดเยี่ยมมาตลอดนับตั้งแต่ภาคแรก และ Naughty Dog ผู้พัฒนาก็ถือว่าเป็นทีมพัฒนาหลักประจำทีมของ Sony ไปแล้ว ในภาคปิดตำนานอย่าง Uncharted 4 : A Thief’s End ซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นภาคสุดท้าย ปิดตำนานสุดยอดนักล่าสมบัติ ที่คราวนี้อัปเกรดมาให้พร้อมเล่นบนเครื่อง Next-Gen อย่าง PlayStation 5 จะเป็นยังไง มาดูรีวิวตัวนี้ของเรากัน
แน่นอนว่ามันคือเกมเดิมจากเวอร์ชั่น PlayStation 4 ต้นฉบับ ดังนั้นในส่วนของเนื้อเรื่อง ก็จะเหมือนกับที่ทุกคนได้เล่น ได้สัมผัสกันมาแล้ว แต่สำหรับใครที่ไม่รู้เนื้อเรื่องของเกมภาคนี้ นี่คือเหตุการณ์ต่อจากตัวเกมภาค 3 ที่ Nathan Drake ตัวเอกของเกม ตัดสินใจละทิ้งชีวิตนักล่าสมบัติ มาคบหาและอยู่กินกับ Elena ก่อนที่ Sam พี่ชายของเขาที่คิดว่าตายไปตั้งแต่เมื่อ 15 ปีก่อน กลับมาปรากฎตัวอีกครั้ง และเพื่อเป็นการชดใช้หนี้บุญคุณของเจ้าพ่อมาเฟียที่ช่วยชีวิต Sam ไว้ เขาจึงต้องหาทางชดใช้ และไม่มีหนทางอื่นนอกจากมาขอให้ Nathan ผู้เป็นน้องช่วย ด้วยเหตุนี้ การผจญภัยล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าของสองพี่น้องผู้พลัดพรากจากกันนานถึง 15 ปี จึงได้เริ่มต้นในภาคนี้ ส่วนอีกภาคหนึ่งที่พ่วงมาด้วยกับเวอร์ชั่นอัปเกรดในครั้งนี้คือภาค The Lost Legacy ที่เ็นเหมือนเรื่องราวต่อยอดจากภาค 4 โดยจะโฟกัสไปที่ตัวร้ายประจำเรื่องอย่าง Chloe และ Nadine ที่ต้องจับพลัดจับผลูมาร่วมมือกันตามหาสมบัติลับแห่งอินเดีย
สิ่งที่ดูแล้วโดดเด่นที่สุดของ Uncharted นับตั้งแต่เวอร์ชั่นต้นฉบับย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของกราฟิกและการนำเสนออันสวยงาม แต่ในตอนที่เกมออกครั้งแรกบนเครื่อง PlayStation 4 ด้วยศักยภาพของเครื่องในตอนนั้น ตัวเกมจึงรันได้เพียง 30FPS นิ่ง ๆ เท่านั้น และในเวอร์ชั่นนี้ที่ทำการอัปเกรดปรับปรุงให้รันบนเครื่องเล่นเกม Next-Gen ได้ ตัวเกมก็สามารถรันภาพได้ที่ 60FPS นิ่ง ๆ ตลอดทั้งเกม ซึ่งสำหรับบางคนที่ซีเรียสเรื่อง FPS ตอนเล่นเกมมาก ๆ ก็ต้องบอกว่าราวกับได้เล่นเกมใหม่เลยทีเดียว แถมยังสามารถดันเฟรมเรทขึ้นไปให้สูงถึง 120FPS ได้ ถ้าจอของคุณรองรับ
ด้วยความที่เนื้อหาของเกมเป็นเกมเดิมแทบทั้งหมด แต่สิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาคือส่วนของฟีเจอร์เฉพาะบนเครื่อง PlayStation 5 เริ่มจากระบบ 3D Audio ที่ทำให้ประสิทธิภาพการแสดงผลด้านเสียงนั้น ยอดเยี่ยมขึ้น หากคุณใช้เครื่องเสียงหรือหูฟังที่เค้นประสิทธิภาพมันออกมาได้ ดังนั้นเรื่องของ 3D Audio นี้ อาจจะต้องมีอุปกรณ์ช่วยเหลืออย่าง PS5 Pulse ที่เป็นหูฟังเฉพาะของตัวเครื่องมันเอง เพื่อรับประสบการณ์ด้านเสียงฉบับอัปเกรดที่จัดเต็มมากยิ่งขึ้น
อีกสองฟีเจอร์ที่มาเพื่อ PS5 โดยเฉพาะ นั่นคือสองระบบหลักที่มากับ DualSense Controller ที่จัดเต็มด้วยเพิ่มฟีเจอร์ของ Haptic Feedback และ Adaptive Trigger เข้ามา แต่พระเอกเด่นเลยน่าจะเป็น Adaptive Trigger ที่เมื่อปรับเปิดการทำงานแล้ว เราจะได้อารมณ์ร่วมตอนยิงปืนต่อสู้ (ซึ่งเป็นเกือบ 70-80% ของเกมนี้) การเหนี่ยวไกปืน การยิงแต่ละครั้งที่จะมีแรงต้านเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจเป็นประสบการณ์ที่มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ ซึ่งแน่นอนว่ามันเปิด-ปิดได้อยู่แล้ว แต่หากอยากสัมผัสประสบการณ์ระทึกของจริงส่งตรงถึงมือคุณ ยังไงการลองเปิดดูสักครั้งก็ไม่เสียหาย บางคนอาจจะติดใจจนชอบไปเลยก็ได้
เรื่องของกราฟิกและการนำเสนอในเกมนั้น เรียกได้ว่าหายห่วง เพราะเอาแค่ต่อเข้ากับจอคอมพิวเตอร์ทั่วไป และเล่นด้วยภาพ 1080p ก็ถือว่าสวยงามตระการตามากแล้ว เล่นไปบางฉากก็อยากจะหยุดถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ และแน่นอนว่าเกมภาพสวยขนาดนี้ Photo Mode เป็นสิ่งที่ยังคงตามมาในภาคนี้ด้วย ฟีเจอร์ต่าง ๆ ก็ตามมาครบครัน ได้นั่งถ่ายรูปสวย ๆ กันแทนเล่นหลายครั้งหลายคราว และในส่วนของการตั้งค่าก็ถือว่าละเอียดมาก ผู้เล่นสามารถปรับแต่งความเร็วของก้าน Analog เพื่อช่วยให้การเล็งยิงทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งความเร็วเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน นอกจากนั้นฟีเจอร์สำคัญ ๆ อย่าง Aim Assists ก็กลับมา สำหรับคนที่เล็งยิงด้วยจอยไม่ถนัด ซึ่งหากเปิดระบบนี้ เกมก็แทบจะเล็งเป้าให้เรายิงแบบอัตโนมัติกันเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างไรก็ตามปัญหาของมันอยู่ที่ด้านคอนเทนต์ของเกม ด้วยการที่ตัวเกม เป็นการอัปเกรดจากเวอร์ชั่นเดิม แต่ไม่ใช่การอัปเกรดฟรี ต้องเสียเงินอัปเกรดและที่หนักที่สุดเลยคือการตัดส่วนของโหมด Multiplayer ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์เด็ดของ Uncharted 4 ออกไปซะอย่างนั้น และน่าจะเป็นเพียงข้อเสียเดียวของเกมนี้เลยก็ว่าได้ เพราะเรื่องความคุ้มค่า คุ้มราคาของตัวเกม ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นยินยอมที่จะจ่ายเพิ่ม เพื่อสัมผัสประสบการณ์เฟรมเรทที่สูงขึ้นหรือไม่ แต่หากคุณเป็นแฟน Uncharted อยู่แล้ว การเล่นซ้ำอีกรอบด้วยความลื่นไหล ยังไงก็ถือเป็นประสบการณ์การเล่นที่ดีที่ไม่ควรพลาดจริง ๆ
กล่าวได้ว่า Uncharted: Legacy of Thieves Collection คือเกมที่ดีอยู๋แล้ว และมันยิ่งดีขึ้นอีกถ้ามันไม่ตัดโหมด Multiplayer ทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย โดยตัวเกมนี้กำลังจะลงให้กับเวอร์ชั่น PC ด้วยในอนาคตอันใกล้นี้ จะสัมผัสบน PS5 หรือบน PC ก็อยู๋ที่ผู้เล่นเลือก แต่เวอร์ชั่น PS5 สามารถหาซื้อมาเล่นกันได้แล้ววันนี้
