ออกวางขายมาแล้วหลายเดือน ดูเหมือนว่าภาคใหม่ของ Mirror’s Edge จะถูกลืมเลือนไปแบบงงๆ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Mirror’s Edge Catalyst ภาคใหม่ล่าสุดของเกมน้องหมวยไต่ตึกกู้โลกเป็นเกมที่มีข้อบกพร่องอยู่ในเกม และผลที่ตามมาก็คือตัวเกมได้รับคะแนนรีวิวแบบกลางๆไม่ดีไม่แย่ จนทำให้ตัวเกมถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของเหล่าเกมเมอร์โดยเฉพาะการออกวางจำหน่ายในช่วงที่มีเกมดังเกมอื่นๆมากมายรอคิววางขายอยู่
แต่หากเราลองมองย้อนกลับไปและขุดลงไปจนถึงแก่นจริงๆ ผลงานของทีม DICE ชิ้นนี้จัดเป็นอีกหนึ่งเกมชั้นดีและน่าเสียดายหากเกมเมอร์บางคนจะไม่ได้ลองสัมผัส Mirror’s Edge: Catalyst ดังนั้นวันนี้เราจะพาไปลองดูข้อดีสำคัญของเกมที่ทำให้ Catalyst แตกต่างและน่าสนใจกันดู
ก่อนจะไปถึงข้อดีผมต้องขอเน้นย้ำกันอีกรอบว่า Catalyst มีข้อเสียสำคัญใหญ่ๆและมันเป็นเกมที่ไม่ได้เหมาะกับเกมเมอร์ทุกคน แต่ถ้าอ่านข้อดีต่างๆของเกมต่อไปนี้และมันฟังดูน่าสนใจ Catalyst น่าจะเหมาะให้คุณหามาลองเล่นในตอนลดราคาแล้วครับ
ระบบการเคลื่อนไหวอันลื่นไหล
จัดเป็นหัวใจและเสน่ห์หลักสำคัญขอเกมก็ว่าได้สำหรับระบบการเคลื่อนไหวของ Mirror’s Edge: Catalyst การเคลื่อนที่แบบ Parkour ของ Faith ตัวเอกนั้นให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและเน้นให้ผู้เล่นรู้สึกเคลื่อนที่ต่อเนื่องไปมาอย่างรวดเร็ว Faith มีท่วงท่ามากมายให้การเคลื่อนที่และไต่ไปยังเป้าหมายและความสนุกหลักของเกมนี้ก็คือการไปถึงเป้าหมายและทำภารกิจให้เร็วที่สุด ทีม DICE ทำการบ้านมากอย่างหนักเพื่อให้การเคลื่อนไหวของ Faith ดูเป็นธรรมชาติและทำให้ผู้เล่นรู้สึกได้ถึงน้ำหนักในทุกๆการก้าวเท้าและการกระโดด ตลอดการเล่นคุณจะรู้สึกได้ว่า Faith มีน้ำหนักมีตัวตนจริงๆในโลกภายในเกม
โลกเปิดที่ถูกออกแบบมาอย่างดี
Mirror Edge ภาคแรกนั้นเป็นเกมที่เป็นเส้นตรงและหนึ่งในสิ่งที่แฟนเกมหลายคนเรียกร้องมากที่สุดก็คือการทำให้ Mirror’s Edge กลายเป็นเกม Open World และนั่นก็คือสิ่งที่ DICE ทำในเกมภาค Catalyst เมือง Glass City สนามเด็กเล่นที่ Faith จะได้ไปออกวิ่งนั้นถูกออกแบบมาอย่างดี นอกจากมันจะเป็นเมืองที่ดูสวยล้ำสมัย (และแม้สภาพแวดล้อมจะดูซ้ำๆกันไปหน่อย) เส้นทางต่างๆในการวิ่งนั้นถูกวางไว้ชวนให้เราใช้ความสามารถของ Faith แบบเต็มที่ ใน Glass City ยังเต็มไปด้วยกิจกรรมและภารกิจรองให้ผู้เล่นได้ไล่ทำกัน แน่นอนว่าการที่มันการเป็นเกม Openworld ก็อาจทำให้การนำเสนอของเกมไม่ต่อเนื่อง แต่ข้อดีของมันคือเรามีพื้นที่ขนาดใหญ่มากๆในการวิ่งเล่นมากกว่าเดิมนั่นเอง
ภารกิจและกิจกรรมมากมาย
Catalyst มีระบบ time trial ซึ่งเป็นกิจกรรมย่อยภายในเกมในรูปแบบของการแข่งวิ่งทำเวลาในเส้นทางที่กำหนดโดยเราจะได้เห็นเวลาที่เพื่อนทำเอาไว้พร้อมกับมี “ภาพเงา” ของเพื่อนมาวิ่งโชว์ให้คุณดูแน่นอนว่าคุณเองก็สามารถทำเวลาให้ดีและทิ้งภาพเงาดังกล่าวเอาไว้ได้เช่นกัน นอกจากนั้นในเกมยังมีภารกิจรองและของสะสมมากมายให้ตามหาบางอย่างอาจจะดูไม่น่าสนใจแต่ภารกิจรองบางอันอย่างการวิ่งส่งของนั้นนับเป็นกิจกรรมที่จะทำให้คุณได้วิ่งในเมืองที่ถูกออกแบบมาอย่างดี ภารกิจรองอีกอันอย่างเหล่า grid node puzzle สำหรับปลดล็อคจุด Fast Travel ถือเป็นภารกิจที่ทั้งเท่แล้วก็ท้าทายการพยายามขบคิดหาเส้นทางและหลบหลีกเลเซอร์มอบความบันเทิงให้ผู้เล่นได้เป็นอย่างดี
มองข้ามส่วนอื่นของเกมไปเลย
จุดด้อยที่สำคัญที่สุดของ Mirror’s Edge: Catalyst ก็คือเนื้อเรื่องและเหล่าตัวละครภายในเกม ถ้าคุณเป็นคนที่ใส่ใจในเรื่องของเนื้อหาคุณจะต้องหงุดหงิดตลอดเวลากับเหล่าตัวละครที่เรียกได้ว่าถูกออกแบบมาให้เกลียดโดยเฉพาะ แม้แต่ตัว Faith เองก็ขาดเสน่ห์ที่น่าสนใจ ดังนั้นคำแนะนำของผมคือคุณต้องมองข้ามจุดด้อยนี้ของเกมให้ได้หากต้องการจะสนุกกับมัน ระบบต่อสู้ก็เป็นอีกอย่างที่ Catalyst ยังทำได้ไม่ดีพอ โชคดีที่ส่วนใหญ่คุณสามารถหลบเลี่ยงการต่อสู้ได้เสมอยกเว้นบางจุดในเนื้อเรื่องหลัก
และทั้งหมดที่ว่ามาก็คือใจความสำคัญของ Mirror’s Edge: Catalyst หากวัดกันในเรื่องของระบบการเล่นหลักแล้ว Catalyst จัดเป็นเกมที่ดีเกมนึงโดยเฉพาะหากคุณชื่นชอบ Mirror’s Edge ภาคแรก ผมไม่อยากให้คะแนนรีวิวที่ออกมาไม่ดีนักผลักดันให้แฟนเกมภาคแรกหนีไปจากตัวเกมภาคใหม่นี้ แน่นอนว่า Catalyst อาจจะไม่ใช่เกมที่สมบูรณ์แบบ แต่ท่ามกลางเกม Action AAA และเกม Openworld สูตรสำเร็จที่มีอยู่เต็มตลาด Catalyst จัดได้ว่าเป็นเกมที่แตกต่างและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างแท้จริง ถ้าคุณชอบการวิ่งชอบความเร็วและความท้าทายลองหา Mirror’s Edge: Catalyst มาเล่นดูครับ