เผยสาเหตุที่ภาคล่าสุดของเกมล่าล้างนาซีเปลี่ยนแปลงไปจากภาคก่อน
หลังจากที่เปิดตัวไปในงาน E3 2018 ที่ผ่านมา กับภาคใหม่ของเกมเดินหน้ายิงล่าล้างนาซี Wolfenstein: Youngblood ที่ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นลูกสาวฝาแฝดของ Blazkowicz ที่ทำภารกิจออกตามหาพ่อของตัวเองที่หายสาปสูญ และจะมีโหมดการเล่นในแบบ Co-op ด้วย และนั้นก็ทำให้แฟนๆหลายคนสงสัย ว่าทำไมภาคนี้จึงได้เน้นการเล่นแบบ Co-op แทนที่จะเป็นการเล่นเดี่ยวแบบที่ผ่านมา
ทาง VG247 ได้มีโอกาสสัมภาษณ์รองประธารฝ่ายการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ของ Bethesda คุณ Pete Hines ซึ่งได้พูดถึงประเด็นนี้ และยังพูดถึงความเปลี่ยนแปลงที่ซีรีส์ Wolfenstein กำลังจะมีขึ้น และยังย้ำว่าทาง Bethesda ยังคงสนับสนุนเกมแบบ Singleplayer ต่อไปในอนาคต
“เรายังคงสนับสนุนเกมแบบ Singleplayer เหมือนเดิมครับ หรือจะให้ดูดีกว่านั้นก็คือมากกว่าที่อื่น ๆ อีกหลายที่ครับ ซึ่งตอนที่อยู่อังกฤษนี่ พวกเราขำกันแทบตายกับทุกคนที่ตื่นตูมกับเรื่องนี้และต้องมีการทำอะไรสักอย่าง แต่นั้นก็ไม่แปลว่าเราจะมุ่งเน้นไปที่เกมเล่นเดี่ยวอย่างเดียวนะครับ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทีมพัฒนาของพวกเราคาดหวังเอาไว้ เราอยากทำอะไรอีกหลายๆอย่าง โดยมีเกม Singleplayer อยู่ในนั้นด้วยครับ”
“เราจะยังคงทำในสิ่งที่หลากหลายอยู่เหมือนเดิม และนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าทีมพัฒนาของเราอยากจะทำออกมาแบบไหน อย่างเช่นในกรณีของ Wolfenstein: Youngblood มันจะเป็นแบบ ‘จะเป็นยังไงนะถ้าเราได้เล่นเป็นลูกสาวฝาแผดของ BJง เราก็แบบว่า ‘อีกคนหนึ่งจะทำอะไรอยู่นะ’ และพวกเขาก็จะแบบ ‘คงไม่มีอะไรหรอก หรือไม่ก็จะให้เป็น AI เป็นเพื่อนร่วมทางไปดีไหม’ แล้วก็ไปจบที่ว่า ‘ก็ถ้าจะให้เธอเป็น AI เราก็ให้อีกคนมาเล่นแทนไปเลยดีกว่ามั้ย?’ “
“และมันก็กลายเป็นเกม Co-op ครับ แต่มันก็จะยังให้ความรู้สึกแบบเกมภาคเดิมอยู่ เพราะว่าถึงคุณไม่มีคนเล่นด้วย มันก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมายนัก เพราะตัวละครอีกคนก็จะอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็น AI หรือคนจริงๆ มันก็ไม่ได้เปลี่ยนประสบการณ์ในการเล่นไปเลย มันจะไม่เหมือนใน Skyrim ที่อยู่ ๆ ก็มีคนโผล่ออกมา และเหนือสิ่งอื่นใด ผมเองก็สนใจว่าทีมพัฒนาคิดแบบไหนด้วยครับ”
Wolfenstein: Youngblood จะวางจำหน่ายในปี 2019 บนระบบ PS4, Xbox One และ PC ครับ