“ภาษา” คือสิ่งที่เรารู้ว่าสำคัญและมันจะเปิดโลกให้คุณได้มากมายไม่ว่าจะเป็นข่าวสาร หรือสิ่งอื่น ๆ ถ้าจะบอกว่าภาษาคือกุญแจไขสู่โลกอีกใบก็คงไม่เกินไปนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับเกมที่เราเล่น ที่นับวันเกมยิ่งใกล้เคียงกับซีรีส์ดี ๆ หรือภาพยนตร์เจ๋ง ๆ สักเรื่อง ถ้าเราเข้าใจมันได้จะเป็นเรื่องที่ดีมาก ที่สำคัญคือยุคนี้เราก็เริ่มมีเกมแปลภาษาไทยมาให้เราได้เล่นกันบ้างแล้ว แต่ถ้าเราเกมไหนไม่มีล่ะ เราควรจะทำยังไงดี คำตอบก็คือเราต้องฝึกการใช้ภาษา แน่นอนว่าไม่ใช่จากแค่การเรียน แต่บางทีเราก็ได้มันจากการเล่นเกมด้วย แล้วถ้าเราอยากจะเริ่มฝึกภาษาจากการเล่นเกม เราควรจะเริ่มแบบไหนดี วันนี้เรามากางแผนให้ดูกันชัด ๆ ไปเลย
ทำความเข้าใจกันสักนิด ก่อนคิดจะฝึกภาษาจากเกม
ก่อนอื่นเราต้องบอกกันให้ชัด ๆ ก่อนว่า เราสามารถฝึกภาษาจากเกมกันได้ แต่..มันไม่ได้แบบ 100% หรือชนิดที่ว่าเล่นเกมแล้วจะสามารถเชี่ยวชาญภาษาขนาดนำไปใช้งานจริง เอาไปพูดกบัฝรั่ง หรือเอาไปสอบ ไปอะไรได้เลยนะครับ เราต้องบอกกันก่อนว่า การฝึกภาษาจากเกมนั้น เป็นผลพลอยได้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากการเล่นเกมเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรแล้ว เราก็ควรจะไปศึกษาจากการเรียนการสอนจริง ๆ ในชีวิตจริงนอกจอเกมกันอีกทีนึง
และการฝึกภาษาจากเกม อาจทำให้การเล่นเกมหมดสนุกไปเลย เพราะคุณจะพะวงว่าอยากรู้ภาษาด้วย ทำให้คุณเล่นเกมก็ไม่สนุก จะฝึกภาษาก็ไม่เต็มที่ ดังนั้น อย่าพยายามไปคิดว่าเราต้องเก่งภาษาจากการเล่นเกมให้ได้ ให้คิดซะว่าเก็บคำบางคำ เรียนรู้บางประโยคไว้ดีกว่า เผื่อไปเจอจากที่อื่น จะได้เป็นความรู้ติดตัวในอีกรูปแบบนึงจะดีกว่า
Level 1 : Metroidvania , Survival เกมที่ฝึกภาษาได้ง่ายที่สุด
หากจะให้พูดถึงแนวเกม Metroidvania ก็คงต้องบอกว่าเป็นเกมที่เราเติบโตมากับมันมาตั้งแต่เด็ก เป็นเกมที่ให้เราเสพบรรยากาศเกมเพลย์ การเล่น การสำรวจมากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีเนื้อเรื่องหรืออะไรให้เราอ่านเลย ถ้าคุณจะเสพเนื้อเรื่อง ก็บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องยาก เพราะด้วยมุมมองการนำเสนอ เกมจำพวกนี้จะมีสคริปท์และไดอะล็อกในการสนทนาไม่ค่อยเยอะนัก (แล้วแต่เกม) ถ้ายังไม่จุใจคุณก็ตามไปเก็บพวก Lore หรือ Info ต่าง ๆ ภายในเกมเอาต่อได้
ผู้เล่นสามารถเรียนรู้ศัพท์การสนทนา หรือคำบางคำได้จากเกมแนวนี้ง่ายกว่าเกมแนวอื่น เพราะส่วนมากการสนทนาของเกมแนวนี้จะเป็นการพูดแบบประโยคนึงจบแล้วให้ผู้เล่นกดปุ่มไปประโยคถัดไป (หรือบางเกมสามารถกดค้างเพื่อให้บทสนทนารันไปเองได้เลย แล้วแต่ฟังก์ชั่นของเกมนั้น ๆ) ทำให้เรามีเวลามากพอที่จะอ่านและเรียนรู้คำศัพท์ของเกมนั้น ๆ เกมพวกนี้เล่นง่าย สนุกง่าย เพราะเป็นแนวแอ็คชั่นเสียเป็นส่วนมาก ภาษาอาจจะซับซ้อนแค่ในส่วนของเนื้อหาเสริมที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้
ในส่วนของเกมแนว Survival ที่ส่วนมากจะเป็นระบบ Online ก็สามารถเรียนรู้คำศัพท์จากเกมเหล่านี้ได้ เพราะมันเหมือนไฟต์บังคับว่าถ้าผู้เล่นไม่อ่านหรือทำความเข้าใจ ตัวละครของเราอาจอดตายจากสถานะต่าง ๆ ได้ คำศัพท์ในเกม Survival ส่วนมากจะไม่ค่อยเยอะ หรือหลากหลายมากนัก ถ้าเข้าใจภาพรวมของเกมแล้วก็อาจจะไม่ค่อยได้เรียนรู้อะไรมาก แต่เหมือนกับแนว Metroidvania คือ ผู้เล่นสามารถตามอ่านไอเทมแปลก ๆ ในเกมเกมนั้นได้
Level 2 : ขยับความยากขึ้นมาที่เกมผจญภัยแบบเส้นตรง
หากผู้เล่นเริ่มคุ้นชินกับคำศัพท์มาตรฐานในเกม Metroidvania หรือ Survival แล้ว ก็ให้ลองขยับแนวเกมขึ้นมาเป็นเกมแนวผจญภัยแบบเส้นตรงดูบ้าง เกมพวกนี้จะมีเนื้อเรื่องในระดับที่พอดี และเข้าใจภาพรวมเหตุการณ์ได้ไม่ยาก (ดูคัทซีนในเกมประกอบเอา) และโดยทั่วไป เกมจำพวกนี้จะใส่ Lore หรือ Info เข้ามาในเกมด้วยอยู่แล้ว ก็เข้าไปอ่านเพิ่มเติมเอาได้สำหรับคนอยากฝึกจริง ๆ
ผู้เขียนแนะนำไตรภาค Tomb Raider ที่บทสนทนาเข้าใจได้ไม่ยาก จะไปยากก็ตรงสำรวจโบราณสถาน หรืออ่านรายละเอียดไอเทมบางชนิดเท่านั้น เกมแนวนี้จะแตกต่างจากแนว Metroidvania คือตัวเกมจะดำเนินเรื่องราวคล้ายภาพยนตร์ บทสนทนาจึงไม่อาจถูกหยุดคั่น เพื่อรอให้ผู้เล่นกดไปต่อเองได้ ดังนั้นอาจจะต้องมีพื้นฐานภาษามาแล้วสักระดับนึง ถึงจะพอเข้าใจได้ หรือเกมตระกูล Resident Evil ที่ล่าสุดภาค 7 ของเกมก็ไม่ได้ใช้คำศัพท์ยากจนเกินไปนัก และมันยังมีการเล่าเรื่องที่ไม่ช้า ไม่เร็ว ผู้เล่นสามารถอ่านและตีความได้ระหว่างเล่นได้เลย
เพิ่มเติมคือเราสามารถเรียนรู้คำอุทาน คำหยาบ หรือคำแสลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เวลาที่ตัวละครพวกนี้ประสบเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เรียกได้ว่าบางทีก็ได้คำศัพท์ใหม่ ๆ จากการเล่นเกมแล้วเจอฉากพวกนี้เหมือนกัน
Level 3 : ฝึกกันแบบฮาร์ดคอร์ด้วยเนื้อเรื่องแบบจัดเต็ม
หากคิดว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมามากพอแล้ว ก็ถึงเวลากับเกมฟอร์มใหญ่จัดเต็มด้วยเนื้อเรื่องทั้งหลาย จะบอกว่าเกมแนวนี้นั้นหาเล่นได่ง่ายมาก เพราะแต่ละปี แต่ละค่ายก็จะมีเกมเด็ด ๆ ออกมาวางจำหน่ายอยู่แล้ว ดังนั้นอยู่ที่ว่าผู้เล่นจะเลือกเล่นเกมอะไร สำหรับเกมที่มีคำศัพท์แบบจัดเต็ม จำพวกแฟรนไชส์เกม AAA ฟอร์มยักษ์อย่างเช่น Assassin’s Creed , The Witcher , Far Cry พวกนี้ เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะลองเรียนรู้ภาษาจากเกมเหล่านี้
เกมพวกนี้ยังมี Side Mission ที่มีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ (บางภารกิจนะ) และอาจจะมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้ Story Mission ก็เป็นอีกช่องทางที่เราจะเจอศัพท์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น หรือถ้าผู้เล่นอยากฝึกศัพท์เฉพาะทาง อย่างเช่นเกมจำพวก Call of Duty , Battlefield เกมพวกนี้ก็จะให้เราเรียนรู้ศัพท์ทางการทหารได้แบบจัดเต็มเลยทีเดียว
สุดท้ายนี้เราคงต้องบอกกันอีกครั้งว่า เราสามารถเรียนรู้ภาษาจากเกมได้จริง ๆ เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้ผลทั้งหมด หรือได้ผลมากขนาดนั้นไปใช้กับชีวิตจริงได้ขนาดนั้น อย่าลืมว่าสุดท้ายเราควรเล่นเกมเพื่อความสนุก เก็บโกยความรู้จากการเล่นเกมเป็นผลประโยชน์ติดตัวเล็กน้อย แล้วคุณจะพบว่าความสุขตรงกลางระหว่างการเล่นเกมและการเรียนรู้นั้นเป็นอย่างไร