นักวิจัยจากสหราชอาณาจักรเพิ่งได้ตีพิมพ์บทความลงในวารสาร Annals of Tourism Research เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวโดยมีรถยนต์ไร้คนขับเป็นสาเหตุ ส่วนหนึ่งของบทความระบุว่ารถยนต์ไร้คนขับอาจสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจการค้าประเวณี รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ของบุคคลทั่วไป
บทความดังกล่าวบรรยายไว้ว่ารถยนต์ไร้คนขับจะกระตุ้นให้โรงแรมและร้านอาหารแข่งขันกันมากขึ้น โดยธุรกิจเหล่านี้จะใช้รถยนต์ไร้คนขับเป็นจุดขาย นักท่องเที่ยวจะค้างคืนในรถยนต์ไร้คนขับในรูปแบบโรงแรมเคลื่อนที่ และทานอาหารในภัตตาคารที่ใช้รถยนต์ไร้คนขับเป็นสถานที่ทำอาหารและจัดเลี้ยง เราจะเห็นได้ว่ารถยนต์ไร้คนขับสามารถให้ประสบการณ์ที่นักท่องเที่ยวไม่เคยสัมผัสมาก่อน
นอกจากการนอนหลับพักผ่อนและทานอาหาร อีกสิ่งหนึ่งที่มนุษย์สามารถทำได้บนยานพาหนะเมื่อไม่ต้องควบคุมรถด้วยตนเอง คือ การมีเพศสัมพันธ์
Scott Cohen รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยของ School of Hospitality and Tourism Management ภายใต้มหาวิทยาลัย University of Surrey ซึ่งเป็นผู้ทำงานวิจัยชิ้นี้ กล่าวว่ารถยนต์ไร้คนขับส่วนจะถูกใช้งานในเชิงพาณิชย์ ซึ่งรวมถึงการเป็นพื้นที่ขายบริการ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง รถยนต์ไร้คนขับอาจกลายเป็นย่าน Red Light District (แหล่งขายบริการ) เคลื่อนที่ในอนาคตอันใกล้
เขากล่าวเพิ่มเติมว่าประเทศที่การขายบริการทางเพศเป็นสิ่งถูกกฎหมาย การใช้งานรถยนต์ไร้คนขับเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะประเทศในทวีปยุโรป จากสถิติก่อนหน้า กิจกรรมผิดกฎหมายส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นบนยานพาหนะ เพราะสามารถหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ง่าย
โดยทั่วไป ผู้คนต่างก็มีเพศสัมพันธ์กันบนรถทั้งนั้น รถยนต์ไร้คนขับแค่ช่วยให้ผู้คนสามารถทำกิจกรรมนี้ได้สะดวกขึ้น อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมใหม่นี้จะนำไปสู่คำถามทางศีลธรรมใหม่ ๆ อย่างเช่น ผู้ผลิตรถยนต์ไร้คนขับควรสร้างระบบความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองผู้โดยสารระหว่างการทำกิจกรรมทางเพศยานหานะหรือไม่ หรือบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไร้คนขับควรติดตามการใช้งานยานพานะเพื่อให้มั่นใจว่าผู้โดยสารไม่ได้กระทำการอันตราย อย่างการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างรถยนต์เคลื่อนที่อยู่ หรือไม่