เป็นที่รู้กันดีกว่า Intel และ AMD ทำสงครามชิป Processors กันมาอย่างยาวนาน และต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมใคร อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Intel ทำยอดขายได้ดีกว่าและมีชื่อเสียงที่มากกว่ากว่า บวกกับจำนวนพาร์ทเนอร์ทางการค้าที่ Intel มีแน่นกว่า แต่อะไรต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป ปีนี้ถือได้ว่าเป็นปีของ AMD เขาจริง ๆ เพราะนักการตลาดหลายสำนักคาดคะเนว่า AMD จะสามารถทำกำไรได้มากขึ้นเป็นเท่าตัว และอาจกินส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นได้ถึง 3 เท่าภายในปีนี้ อาศัยจังหวะที่ Intel คาดแคลน CPU
นักวิเคราะห์มองว่าสิ่งที่ส่งผลให้ AMD เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นคือการผลิตชิป Ryzen สำหรับคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปและอุปกรณ์ต่าง ๆ เพราะเหตุนี้ AMD จึงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและได้จำนวนลูกค้ามากขึ้น ราคาของชิปดังกล่าวยังถูกกว่า Intel ทำให้มันเป็นที่ต้องการของผู้ผลิตผลิตภัณพ์ IT หลายราย มากไปกว่านั้น Intel เพิ่งเจอสภาวะขาดแคลน CPU เข้าไป จึงเป็นโอกาสให้ AMD เข้ามาชิงตลาด CPU ได้โดยไม่ต้องกลัวใครมาชิงส่วนแบ่งตลาด
นอกจากนี้แล้ว การขาดแคลนชิปโทรศัพท์มือ Whiskey Lake ของ Intel ส่งผลกระทบต่อสายการผลิตคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กแทบทั้งหมด แถมยังส่งผลให้ราคา DRAM ตก เนื่องจากสินค้าล้นตลาด (มี DRAM แต่ ไม่มี CPU ก็ประกอบเป็นคอมพิวเตอร์ไม่ได้) และความต้องการของผู้บริโภคลดลง
AMD สามารถใช้จังหวะนี้ช่วงชิงการป้อนสินค้าเข้าตลาด และถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะ ออเดอร์จากประเทศจีนทะลักเข้ามา และเจาะจงสินค้าจาก AMD โดยเฉพาะ
คุณ Jefferies นักวิเคราะห์ประจำบริษัท กล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่ราคาหุ้นของ AMD จากทะยานขึ้นอีก $3 เนื่องจากผลประกอบการที่สูงขึ้นและได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุน
คุณ Mark Lipacis นักวิเคราะห์อีกท่านให้ข้อมูลว่า HP จะใช้ชิปจาก AMD ในสินค้าของบริษัทถึง 30% ในปีหน้า ฝั่ง DELL ก็เช่นกัน ที่ตัดสินใจใช้ชิป AMD สำหรับสายการผลิต PC ล็อตใหม่ นี่จึงเป็นเหตุผลที่นักวิเคราะห์ต่างลงความเห็นว่า AMD จะทำส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอีกถึง 30%
คุณ Mark Lipacis คาดว่าปีหน้ายังเป็นขาขึ้นของ AMD และ Intel อาจยังไม่ทำอะไรมาก อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายสำนักยังตกใจและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Intel ในปีนี้ที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การขาดแคลนสินค้าของตนเองได้
บริษัทการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง J.P. Morgan ได้ทำรายงานออกมาว่าการขาดแคลนสินค้าในครั้งนี้ของ Intel ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทแย่ลงเรื่อย ๆ และทำให้การขยับสายการผลิตไปสู่เทคโนโลยี 10nm ต้องช้าลง ซึ่งเป็นการเดินเกมของ Intel ที่ผิดตลาดอย่างร้ายแรงตามความเห็นของ J.P. Morgan
