ท่ามกลางการกลับมาบูมอีกครั้งของเกมแนว Roguelike Gunfire Reborn เปิดตัวและวางจำหน่ายในรูปแบบ Early Access มาอย่างเงียบ ๆ ตั้งแต่ช่วงปี 2020 และใช้เวลากว่า 1 ปีเลยทีเดียว ในการพัฒนาและอัปเดตตัวเกมจนออกจากสถานะ Early Access จัดเต็มคอนเทนต์และฟีเจอร์ของตัวเกม และหลังจากที่ได้ไปสัมผัสมาแล้ว นี่อาจเป็นอีกเกมคุณภาพดีที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย มันดียังไง ทำไมถึงไม่ควรพลาด วันนี้เชิญพบกับ รีวิว Gunfire Reborn
Story
หลายคนน่าจะเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า ปกติเกมเล็ก ๆ หรือเกมอินดี้นั้น จะไม่ค่อยให้ความสนใจกับเนื้อเรื่องสักเท่าไร ซึ่งเกมนี้เองก็เช่นกัน เกมไม่ได้มีเนื้อเรื่องเป็นหลักเป็นแหล่งหรือชัดเจนมากนัก แต่จะถูกเล่าผ่านประวัติของตัวละครแต่ละตัวแทน ในช่วงแรกเริ่ม เกมนี้มีตัวละครเพียง 2 ตัวคือ Crown Prince และ Ao Bai แต่ในระหว่าง Early Access ก็มีการเพิ่มตัวละครใหม่มาอีก 4 ตัว ทำให้ในช่วงเกมเต็มนี้ มีตัวละครทั้ง 6 ตัวด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องของเกมไม่ได้ถูกใส่ใจ หรือตั้งใจในการนำเสนอมากขนาดนั้น แม้กระทั่งในประวัติตัวละครเองก็ไม่ได้มีบอกเยอะ แต่พอจะจับใจความได้ว่าโลกของเกมแบ่งออกเป็นหลาย ๆ โลก แต่ละโลกก็จะมีกองทัพของตัวเองอยู่ และจากข้อมูลของแกลเลอรี่มอนสเตอร์และบอสเองก็แทบจะไม่มีข้อมูลใด ๆ ที่ทำให้เราสามารถนำมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวได้เลย เกมนี้จึงอาจจะตีความได้ว่า ไม่มีเนื้อเรื่องอย่างแท้จริง เพราะแม้แต่บทสนทนา หรือคัทซีนต่าง ๆ ก็แทบไม่มีทั้งสิ้น ดังนั้นใครคิดจะเล่นเกมนี้เพราะเนื้อเรื่องก็ตัดทิ้งไปได้เลย แต่ความสนุกของจริงของเกมนี้นั้นอยู่ที่ระบบเกมเพลย์
Presentation
ด้วยความที่เป็นเกมอินดี้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องมีคือจุดขาย เพราะเกมนี้ไม่ได้พยายามจะขายความเป็นเกม Next-Gen ภาพสวยเวอร์วังอลังการอะไรขนาดนั้น แต่เกมนี้พยายามขายจุดเด่นด้วยตัวของมันเองด้วยกราฟิกแบบการ์ตูนที่ทั้งน่ารัก และดูดีในเวลาเดียวกัน กราฟิกในเกมนี้จะคล้าย ๆ กับการ์ตูนของจีน มีเส้นหนาทึบสีดำเป็นจุดเด่น และด้วยความที่ตัวละครภายในเกมนี้เป็นเหล่าสรรพสัตว์แทบทั้งหมด การออกแบบมาให้ดูน่ารัก หรือดูเท่ก็สามารถทำได้แบบไม่ยากนัก อาศัยจินตนาการล้วน ๆ
ตัวเกมจะนำเสนอเกมการเล่นแบบเส้นตรง แต่เพราะมันคือเกมแนว Roguelike ดังนั้นทุกอย่างในเกมนี้จะเป็นการสุ่มแทบจะทั้งหมด นอกจากตัวละครที่ผู้เล่นจะได้ปรับแต่งทักษะความสามารถแบบตายตัวแล้ว ทุกอย่างในเกมจะถูกสุ่มทั้งหมด อาวุธที่ได้ ศัตรู ความท้าทาย เกือบทุกอย่าง ทุกประสบการณ์ในเกมนี้จะเป็นการสุ่มแทบทั้งสิ้น แม้กระทั่งบอสของแต่ละฉากก็จะมีการสุ่มด้วยเช่นกัน แต่จำนวนบอสที่สุ่มนั้นจะไม่ได้มีมากเท่ามอนสเตอร์ทั่วไป ไม่งั้นปวดหัวกันแน่นอน
ใน 1 แอเรียใหญ่ ๆ จะมีห้องเล็กประมาณ 4-5 ห้อง ก่อนจะไปปะทะบอส ในระหว่างห้องเล็กนี้ ผู้เล่นจะต้องกำจัดศัตรูทั้งหมด เก็บเงิน เก็บไอเทม หรือหาอาวุธที่ดียิ่งกว่าเพื่อทำให้เกมการเล่นง่ายขึ้น จากนั้นไปต่อในห้องต่อไป ในระหว่างห้องยิบย่อยนั้นจะมีห้องลับที่ให้เราเข้าไปสู้เพิ่ม อาจจะเป็นทั้งห้องที่ให้เราบู๊แหลก หรือเป็นกับดักให้เราผ่านไปเฉย ๆ เพื่อรับไอเทมสนับสนุนต่าง ๆ การที่ผู้เล่นเสี่ยงเข้าไปในห้องลับนั้น แน่นอนว่าอันตรายเพิ่มขึ้น แต่มีลุ้นได้ของรางวัลที่ดีขึ้นด้วย ที่อาจจะทำให้เกมการเล่นง่ายขึ้นในรอบนั้น ๆ
และเป็นธรรมดาของเกมยุคนี้ที่มักจะมีการใส่ภาษาไทยเข้าไปในเกมของตัวเอง จนตอนนี้เกมที่มีภาษาไทยนั้น เยอะจนนับแทบไม่หวาดไม่ไหว แต่ใด ๆ ก็ตาม ภาษาไทยของเกมนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบหรือดีเลิศอะไรขนาดนั้น ข้อมูลสำคัญบางส่วนยังคงเป็นภาษาอังกฤษ และหนักที่สุดคือการแปลแบบไม่สมบูรณ์ คือไทยคำอังกฤษคำ หรือบางคำที่ควรจะเป็นภาษาอังกฤษก็ใช้ภาษาไทยแปลเข้าไป กลายเป็นว่าแทนที่จะเข้าใจ กลับกลายเป็นงงกว่าเดิม แต่อย่างน้อยการแปลภาษาไทยของเกมนี้ก็ทำให้เราเข้าใจรูปแบบการทำงานของสกิล หรือม้วนคัมภีร์บางอย่างได้ง่ายยิ่งขึ้น
ภาพรวมของ Gunfire Reborn คือการมอบประสบการณ์ Roguelike แบบจัด ๆ ให้กับผู้เล่น ทุกอย่างจะเป็นการสุ่มเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ, ม้วนคัมภีร์อัปเกรด หรือแม้แต่ศัตรูและบอส ดังนั้นรอบไหนเจอของดี การพลาดท่าตายก็อาจจะทำให้เสียดายมาก ๆ แต่นี่แหละคือประสบการณ์ Roguelike แบบแท้ ๆ เลย แถมสนุกอีกด้วย หากคุณชอบประสบการณ์เล่นเกมแบบสุ่ม และเก็บแต้มอัปเกรดตัวละครเรื่อย ๆ คุณจะสามารถจมอยู่กับเกมนี้ได้ไม่น้อยกว่า 20 ชั่วโมง ซึ่งเทียบกับราคาเกม ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มแล้ว นั่นหมายความว่าถ้าคุณ “ชอบ” เกมแนวนี้ด้วย และหากใครลุยคนเดียวกลัวเหงา ก็ไม่ต้องห่วงเพราะเกมนี้ยังรองรับการเล่นแบบ Co-op มากสุด 4 คนด้วยกัน
Gameplay
มาถึงส่วนที่สำคัญที่สุดกันแล้ว นั่นคือเกมเพลย์ที่ Gunfire Reborn ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม อย่างที่ได้บอกไป หัวใจการเล่นของเกมนี้เลยคือ Roguelike สุ่มทุกอย่างในรอบการเล่นแต่ละครั้ง เกมนี้จะนำเสนอมุมมองแบบ FPS และตัวเกมจะมีความเป็น RPG เข้ามาในเกมด้วย โดยที่อาวุธภายในเกมนี้ จะมีทั้งหมด 48 ประเภทด้วยกัน และวิธีการจะปลดล็อคอาวุธใหม่ ๆ มาใช้นั่นคือผู้เล่นต้องทำภารกิจปลดล็อค ด้วยการต่อสู้กับศัตรู เช่น ฆ่าศัตรูที่กำหนด 100 ตัว ฆ่าบอสตัวนี้ 1 ครั้ง ด้วยเงื่อนไขนี้ ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถได้อาวุธใหม่มาได้ด้วยการเล่นวน ๆ เพียงอย่างเดียว แต่จำเป็ฯต้องเก่งขึ้น และไปให้ไกลขึ้นด้วย ไม่อย่างนั้นเราก็จะได้เล่นแต่อาวุธชุดเดิม
ตัวละครทั้ง 6 ตัวของผู้เล่น นอกจากจะมีสกิลและความสามารถที่ต่างกันแล้ว แม้ว่าผังสกิลของตัวละครจะใช้ร่วมกันก็จริง แต่ฝั่งขวาสุดของฮีโร่แต่ละตัว จะมีสกิลความสามารถที่ต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ตัวละครนั้นมีความสามารถที่โดดเด่นแตกต่างกันไป ยิ่งอัปไปจนสูงก็ยิ่งเก่ง ในการอัปสกิล จะใช้ Soul Essence ที่ดรอปจากศัตรูได้ในการอัปเกรด การเล่นแต่ละรอบจะได้มากได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับดวงด้วย และ Soul Essence นี้ยังสามารถใช้ Continue Life หากผู้เล่นพลาดท่าตายระหว่างด่านแล้วเกิดอยากจะลุยต่อขึ้นมาอีกต่างหาก
ในเกมการเล่นนั้น ตัวละครจะมีแถบพลังอยู่ 2 แถบ คือพลังชีวิตและเกราะ เมื่อเกราะถูกโจมตีจนแตก ความเสียหายจะโจมตีที่พลังชีวิตโดยตรง แต่เกมนี้ค่าเกราะจะถูกฟื้นให้โดยอัตโนมัติจนเต็มเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นเราจึงไม่ควรลุยยับจนเกราะแตก เพราะเกมนี้หาไอเทมฟื้นพลังชีวิตได้ยากมาก ถ้าพลาดท่าขึ้นมาก็อาจจะตายในการโจมตีไม่กี่ครั้ง เราจึงต้องเล่นแบบเป็นสเตปหลบหลีกกันหน่อยถึงจะรอด โดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ ที่มีศัตรูแห่กันเข้ามาจากรอบทิศทาง
แต่ตัวละครแต่ละตัวก็ใช่ว่าจะอ่อนแออะไรขนาดนั้น นอกจากสกิลแดชหลบไปตามทิศทางต่าง ๆ ความสามารถของฮีโร่แต่ละตัวก็พร้อมจะถล่มฝูงมอนสเตอร์ได้ หรือแม้แต่อาวุธแต่ละชิ้นที่มีความสามารถหลากหลายมาก บางปืนอาจจะต้องทำเงื่อนไขของตัวมันเองก่อนจึงจะทำให้การยิงแรงขึ้น และยังมีอาวุธประเภทขว้างหรือปาใส่ศัตรูเพื่อให้เกิดความเสียหายโดยตรง ตัวละครของเราจะพกอาวุธได้ 2 ชนิด ส่วนอาวุธที่ 3 จะเป็นอาวุธเบสิกติดตัวที่ถอดออกหรือเปลี่ยนไม่ได้
ระบบสำคัญของเกมนี้คือ Occult Scroll หรือม้วนคัมภีร์ลึกลับที่จะเป็นเหมือนกับการอัปเกรดสกิลความสามารถของตัวละครแบบสุ่ม Occult Scroll เมื่อเราเจอและกดใช้งาน ระบบจะสุ่มให้เราเลือกอัปเกรดสกิลของตัวละครในการเล่นรอบนั้น ๆ มา ซึ่งผู้เล่นสามารถพิจารณาเองได้เลยว่ารอบนี้อยากจะให้ตัวละครเก่งไปทางไหน จะเอาถึก หรือเอาบู๊แรง ๆ ก็ทำได้หมด ให้คำนึงผลจากสกิลของฮีโร่ในรอบนั้น ๆ เป็นหลัก แม้จะดูเหมือนง่าย เพราะตัวละครเราแข็งแกร่งขึ้น แต่ความกดดันส่วนหนึ่งจะไปอยู่ที่บอสไฟท์ ที่ให้อารมณ์คล้าย ๆ กับการเล่นเกมโซลนิด ๆ ตรงที่ว่า การเจอบอสครั้งแรกของเรานั้น เราแทบไม่รู้เลยว่าการโจมตีของมันมีรูปแบบอะไรบ้าง แต่ก็ต้องรับมือแล้ว และเรามีโอกาสถูกโจมตีเพื่อหยั่งเชิงไม่กี่ครั้ง ถ้ามากกว่านั้นก็ตายแน่ ๆ และนี่เป็นอีกเสน่ห์ของเกมแนว Roguelike ที่บางครั้งผู้เล่นต้องเจ็บต้องตายเพื่อการเรียนรู้
ด้วยความหลากหลายของอาวุธปืน ม้วนคัมภีร์ รวมไปถึงสกิลของฮีโร่แต่ละคน ทำให้ Gunfire Reborn มีความสดใหม่ในการเล่นแทบจะทุกรอบ และแม้ว่าจะพอเดาทางแพทเทิร์นการโจมตีของบอสและศัตรูแต่ละด่านออก แต่เราอาจจะพลาดท่าตายเพราะความโลภของตัวเองที่อยากได้ของเยอะขึ้นก็ได้ และนี่คืออีกหนึ่งเกม FPS Roguelike ฟอร์มเล็ก แต่คุณภาพยอดเยี่ยมมาก ๆ ในปีนี้เลย
Performance
ด้วยความที่เป็นเกมอินดี้ เรื่องของประสิทธิภาพเกมนั้น หายห่วง ตัวเกมไม่ได้เปิดเผยเอนจิ้นว่าใช้เอนจิ้นอะไรทำ แต่ด้วยกราฟิกแบบเฉดการ์ตูนน่ารัก ๆ ต่อให้เป็นคอมพิวเตอร์ระดับกลางก็ยังเล่นได้สบาย และตัวเกมรองรับความลื่นไหลระดับ 144Hz ด้วย พอเป็นเกมยิงที่เน้นแอ็คชั่นแบบนี้เลยยิ่งทำให้มันลื่นไหลมากขึ้นไปอีก และที่ต้องชื่นชมคือตัวเกมนั้น มอบทางเลือกและความหลากหลายให้กับการตั้งค่าเยอะมาก ปรับได้ตั้งแต่สีครอสแฮร์ไปจนถึงการแสดงผลของครอสแฮร์ตอนยิงโดนศัตรูกันเลยทีเดียว รวมถึงตั้งค่าการแสดงวิถีระเบิด ปรับตัวเลขดาเมจที่แสดงผลได้ เพื่อความสะดวกสบายของผู้เล่นเอง
20211202171429 1
และตลอดเวลากว่า 27 ชั่วโมงที่ผู้เขียนได้ลองเล่นมาก็แทบไม่เจอปัญหาบั๊กใด ๆ อาจจะมีปัญหาตอนเล่นมัลติเพลเยอร์บ้างที่จะมีอาการแลคซึ่งเกิดจากการเชื่อมต่อของผู้เล่นด้วยกันเองเท่านั้น
Gunfire Reborn เป็นอีกหนึ่งเกมที่สนุกมากในปี 2021 นี้ หากคุณชอบเกม Roguelike ชอบ FPS ชอบงานศิลป์ที่ใกล้เคียงกับ Borderlands เกมนี้ตอบโจทย์คุณทุกอย่าง และคุ้มราคาอย่างแน่นอน
