การประกาศเปิดตัว Lost Judgment ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟน ๆ เกมตระกูล Yakuza เป็นอย่างมาก เพราะไม่มีคาดคิดว่าจะได้เห็น Takayuki Yagami ซึ่งนำแสดงโดยดาราชื่อดัง Takuya Kimura กลับมารับบทเป็นนักสืบจอมบู๊ผ่านโลกเกมอีกครั้ง แล้วเกมดังกล่าวจะดีสมกับแรงไฮป์ของแฟนเกมหรือไม่ เข้าไปอ่านในบทความรีวิว Lost Judgment ได้เลย
เนื้อเรื่อง
สตอรี่ Lost Judgment จะเป็นไทม์ไลน์ช่วงหลังเหตุการณ์ Yakuza: Like A Dragon ที่วันหนึ่ง นักสืบเอกชน Takayuki Yagami (ตัวละครเอกของเรื่อง) และ Masaharu Kaito ได้ขอความช่วยเหลือจาก Fumiya Sugiura กับ Makoto Tsukumo เพื่อช่วยสอบสวนในโรงเรียนมัธยมศึกษา Seiryo เพื่อหาหลักฐานว่ามีการกลั่นแกล้งในโรงเรียนจริงหรือไม่
ทว่าระหว่างสืบสวน ค้นพบว่า Hiro Mikoshiba ชายหนุ่มที่โดนฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม เมื่อ 2 เดือนก่อน คือครูฝึกหัดของโรงเรียน Seiryo และคดีดังกล่าว อาจมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เด็กนักเรียนคนหนึ่งในโรงเรียน Seiryo ตัดสินใจฆ่าตัวตายเมื่อ 4 ปีก่อนเพราะทนแรงกดดันจากการโดนรังแกไม่ไหว ทาง Yagami จึงถูกว่าจ้างให้ทำการสืบสวนคดีฆาตกรรม Mikoshiba พร้อมล่าหาความจริงที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยมานานหลายปี
การเล่าเนื้อเรื่องของ Lost Judgment จะคล้ายกับ Yakuza/Judgment คือตัวเกมจะดำเนินเนื้อเรื่องเป็นเส้นตรงแบบค่อยเป็นค่อยไป ทุกช่วงทุกตอนมีการแก้ไขปริศนา ความเข้มข้น ลุ้นระทึก ตื่นเต้นในช่วงกลางถึงท้ายเรื่อง และฉากดราม่าเรียกน้ำตาเหมือนรับชมซีรีส์ดราม่าญี่ปุ่นดี ๆ เรื่องหนึ่ง รวมถึงตัวเกมเชิญชวนให้เพลเยอร์ตั้งคำถามเกี่ยวกับความยุติธรรมและศีลธรรม ที่แต่ละคนมีวิธีตัดสินพิพากษาและแนวทางไม่เหมือนกัน
หากเทียบกับเนื้อเรื่องภาคแรก เกม Lost Judgment จะมีเนื้อหาที่ไม่ได้เน้นเล่าเรื่องส่วนบุคคล แต่ตัวเกมก็ได้ทดแทนให้ตัวละครใหม่ มีบทบาทเด่นมากขึ้น โดยเฉพาะ Jin Kuwana นักทำอาชีพ Handyman (เพียงแค่ชื่อ ) ซึ่งเราคิดว่าเป็นตัวละครที่มีโครงซับซ้อนน่าสนใจ และ Tsukumo หนุ่มเนิร์ดที่ภาคแรกเป็นเพียงตัวละครประกอบ ในภาคนี้กลายเป็นตัวละครสนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบ
นอกจากนี้ นักแสดงกับนักพากย์ทุกคน สามารถแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งช่วยให้เพลเยอร์สามารถอินกับเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้น
แม้ Pacing ระหว่างเนื้อเรื่องกับเกมเพลย์ มีการปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้น แต่เราพบว่าช่วงเริ่มต้นของสตอรี่ยังคงดำเนินค่อนข้างช้า และมีบทสนทนาเยอะเหยียดจนออกนอกทะเลเป็นบางครั้งตามสไตล์เกมค่าย RGG Studios ก็อาจทำให้เพลเยอร์ชิ่งปิดเกมหนีก่อนเข้าสู่เนื้อหาหลักตอนที่ 2
อย่างไรก็ตาม Lost Judgment มีการสอดแทรกประเด็นการกลั่นแกล้งในโรงเรียน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมญี่ปุ่น (หรือรวมถึงทั่วโลก) รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศกับการฆ่าตัวตาย ฉะนั้นต้องเตือนก่อนว่าพล็อตเนื้อหาของเกมนี้ อาจสามารถ Trigger ให้เพลเยอร์บางกลุ่มได้เช่นกัน
การนำเสนอ
ในเกมนี้ผู้เล่นจะได้ผจญภัยในย่าน Kamurocho ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังหลักของเกมตระกูล Yakuza และย่าน Isezaki Ichijo จังหวัด Yokohama ที่เป็นแผนที่หลักของเกม Yakuza: Like A Dragon ถ้าหากเพลเยอร์เคยเล่นเกม Yakuza มาก่อนแล้ว จะเข้าใจตำแหน่งร้านค้ากับสถานที่ต่าง ๆ ทันที โดยสถานที่ที่เพิ่มเข้ามาในเกม Lost Judgment คือโรงเรียนมัธยมศึกษา Seiryo ที่สเกลใหญ่เหมือนอ้างอิงจากของจริง
นอกจากเกมตระกูล Yakuza และ Judgment มีชื่อเสียงในด้านการนำเสนอเนื้อเรื่องหลักแล้ว ตัวเกมก็มีความโดดเด่นในเรื่องมินิเกมที่มีให้เลือกเล่นมากมาย พร้อมกับมีเนื้อเรื่องเสริมตลกโปกฮาสร้างเสียงหัวเราะให้กับเพลเยอร์หลายคน ซึ่งแน่นอนว่คอนเทนต์ดังกล่าวยังรักษามาตรฐานได้ดีในเกม Lost Judgment
ใน Lost Judgment มีเนื้อเรื่องเสริมใหม่ที่เรียกว่า “School Stories” เป็นเนื้อหาที่ Yagami กลายเป็นที่ปรึกษาของชมรม Mystery Reseach Club แล้วต้องสืบสวนหาตัวบุคคลปริศนานามว่า “The Professor” ที่ออกมาสร้างความวุ่นวาย และหายนะให้กับย่าน Isezaki Ichijo และโรงเรียน Seiryo อย่างต่อเนื่อง Yagami กับสมาชิกกลุ่ม จึงต้องแฝงตัวและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกิจกรรมชมรมต่าง ๆ เพื่อหาข้อมูลและจับตัว The Professor ให้ได้
School Stories มีมินิเกมให้เล่นมากมาย เช่น การชกมวยที่มีเกมการเล่นคล้ายกับ Punch-Out!!, การเต้นรำ ซึ่งเป็นเกมดนตรีกดปุ่มตามจังหวะเพลง, เกมวางแผนหุ่นยนต์ต่อสู้, กำจัดแก๊งมอเตอร์ไซค์นอกกฎหมาย, การแข่งขันสเกตบอร์ด, การแข่งขันเกมต่อสู้ Virtua Fighter 5 และอื่น ๆ รวมเป็น 10 ชมรม โดยหากทำกิจกรรมโรงเรียนผ่านหลายครั้งตามที่กำหนดไว้ ตัวเกมจะปลดเนื้อเรื่องเสริมใหม่ไปเรื่อย ๆ ซึ่งด้วยตัวบทเนื้อเรื่องที่ขัดเกลามาอย่างดี แถมมินิเกมส่วนใหญ่ออกแบบให้เล่นได้อย่างเพลิดเพลิน จึงนับว่าเป็นคอนเทนต์เสริมไฮไลท์หลักของเกมนี้เลย
แน่นอนว่ามินิเกมอื่น ๆ จาก Judgment ภาคเก่า ทั้งการแข่งขัน Drone Racing, การปาเป้า, VR Board Game, เล่นตู้เกมกับเกมคลาสสิกของ SEGA และแน่นอน Side Case เนื้อเรื่องเสริมสุดกาว ได้กลับมาอีกครั้งในเกมภาคนี้ รวมถึงยังคงรักษาความฮาได้ดีเหมือนทุกภาคที่ผ่านมา
มินิเกมเสริมอย่างการเดทแฟนสาว ได้ถูกย้ายกลายเป็นเนื้อหาเสริม DLC ที่ต้องจ่ายเงินซื้อ เพื่อปลดล็อกคอนเทนต์ แต่ถึงอย่างนั้น แม้น่าเสียดายที่เนื้อหาดังกล่าวถูกย้ายกลายเป็น DLC แต่ผู้เล่นยังสามารถเต็มอิ่มกับมินิเกม, Side Case ตลกโปกฮา และ School Stories สุดเพลิน ที่อาจใช้เวลาเล่นนานราว 10-15 ชั่วโมงกว่าจะเคลียร์เนื้อหาทั้งหมด
ข้อเสียของ School Stories มีเพียงอย่างเดียว คือ A.I. ฝั่งเราในเกมวางแผนหุ่นยนต์ต่อสู้ที่โง่เขลา ส่งผลให้เราหงุดหงิดหลายครั้งระหว่างเล่นมินิเกมดังกล่าว เพราะ A.I ที่ไร้ประโยชน์ ทำให้ภารกิจมักลงเอยด้วยความล้มเหลวโดยไม่ใช่ความผิดของตัวเอง
เกมเพลย์
Lost Judgment มีระบบการต่อสู้เป็นแนว Action Beat’em Up คล้ายกับ Yakuza 6 และ Judgment ซึ่งแตกต่างจาก Yakuza: Like A Dragon ที่กลายเป็นเกม RPG อย่างเต็มรูปแบบ
ตรงส่วนนี้ไม่มีให้กล่าวเพิ่มเติมมากนัก เพราะระบบหลายอย่างยังคงคล้ายกับเกม Judgment โดยไม่มีการอัปเกรดจากภาคก่อน ยกเว้นแต่ระบบการต่อสู้ได้มีการปรับปรุงให้ลื่นไหลขึ้นจากภาคก่อน รวมถึงเปิดตัวท่าต่อสู้ใหม่ที่เรียกว่า Snake Style
Yagami มีท่าต่อสู้ 3 รูปแบบระหว่าง Crane Style (สีฟ้า) เน้นการโจมตีเป็นวงกว้าง และควบคุมฝูงชน, Tiger Style (สีแดง) เน้นการโจมตีศัตรูแบบ 1 ต่อ 1 และการชาร์จโจมตี กับ Snake Style (สีเขียว) เน้นการ Parry การจับ และปลดอาวุธศัตรู ซึ่งทุกกระบวนท่ามีการควบคุมลื่นไหล ตอบสนองได้ดีกว่าเกมภาคแรก โดยเฉพาะ Snake Style ที่ตอนนี้ กลายเป็นท่าต่อสู้ที่ชอบใช้ที่สุดไปแล้วเรียบร้อย (Parry สะใจจริง ๆ) โดยแน่นอนว่าท่าต่อสู้ และ Ex Action (หรือ Heat Action ของเกม Yakuza) ใหม่ สามารถปลดล็อกจากการใช้ค่า SP ในหน้าต่าง Skill Book ได้ด้วยการเล่นเนื้อเรื่อง ทำมินิเกม และทำ Side Case
ระหว่างการเล่นเนื้อเรื่อง บางครั้งเพลเยอร์ต้องตอบคำถาม และโชว์หลักฐานให้ถูกต้อง แต่แม้ผู้เล่นจะเลือกตอบผิด ก็ยังสามารถเลือกใหม่ได้อีกครั้งโดยไม่โดนลงโทษใด ๆ ซึ่งบางคนอาจจะมองว่าเป็นข้อเสีย เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้เพลเยอร์ตอบมั่วไม่สมกับเป็นนักสืบ แต่สำหรับผู้เล่นทั่วไปมันเป็นระบบที่ช่วยให้เข้าถึงตัวเกมง่ายขึ้น
นอกจากนี้ Tail Mission หรือภารกิจสะกดรอยตามผู้ต้องสงสัย ซึ่งภาคแรกโดนวิจารณ์ว่าใช้เวลาติดตาม NPC ยืดเยื้อเกินไป ส่งผลทำให้การเล่นเกมช่วงเวลานั้นค่อนข้างน่าเบื่อ โดยในภาคนี้ ได้มีลูกเล่นใหม่เรียกว่า ‘Act Casual’ เป็นการตีเนียนหลอก NPC ว่ากำลังเล่นโทรศัพท์, ส่องกระจก หรือผูกเชือกรองเท้า ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าว ช่วยให้เพลเยอร์ไม่ต้องกระวนกระวายหาที่กำบังให้เสียเวลาอีกต่อไป
แต่น่าแปลกใจ หลังจากเล่นเกมหลักไปได้ 20 ชั่วโมง ก็พบว่าภารกิจสะกดรอยตาม NPC ไม่มีค่อยให้เล่นสักเท่าไหร่นักสำหรับเกมภาคนี้ แต่ก็ยังพบอยู่บ้างระหว่างการเล่นเนื้อเรื่อง Side Case
แม้ตัวเกมนำเสนอลูกเล่นใหม่ที่เรียกว่า Parkour หรือการกระโดดข้ามแพลตฟอร์ม และ Stealth ลอบเร้นไปถึงจุดหมายโดยไม่ให้ศัตรูรู้ตัว แต่น่าเสียดายที่เกมการเล่นของระบบดังกล่าว ไม่ค่อยล้ำลึกน่าสนใจเท่าไหร่นัก เหมือนตัวเกมสร้างขึ้นมาเพื่อเพิ่มความหลากหลายของเกมเพลย์มากกว่า
กราฟิก/ประสิทธิภาพ
Lost Judgment พัฒนาโดยเครื่องมือ In-House ของ SEGA อย่าง Dragon Engine โดยจากการเล่นเกมผ่านไปราว 20 ชั่วโมงด้วยเครื่องคอนโซล PlayStation 4 Pro เราพบว่าตัวเกมสามารถรันได้ลื่นไหล 30FPS เกือบตลอดการเล่น โดยแสดงอาการกระตุกหรือเฟรมเรตตกเป็นบางครั้ง หาก Partical Effect บนหน้าจอมีเยอะเกินไป แต่อาการดังกล่าวยังเกิดขึ้นได้น้อยมาก ๆ หากเทียบกับเกมภาคแรก จึงถือว่าตัวเกมมีการปรับปรุงประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม เกมคอนโซล Next-Gen อย่าง PlayStation 5 ก็ยังคงเป็นตัวเลือกเหมาะที่สุดสำหรับการเล่น Lost Judgment เพราะเกมเวอร์ชันดังกล่าว มีตัวเลือกกราฟิกให้ปรับระหว่างโหมด Standard ที่รันด้วยภาพ 1440p 60FPS และโหมด Resolution Priority ซึ่งรันด้วยภาพ Native 4K 30FPS นอกจากนี้ ด้วยขุมพลังของ SSD ก็ทำให้ตัวเกมสามารถโหลดแผนที่ได้รวดเร็ว จนลืมไปเลยว่าเคยว่าหน้าต่าง Loading
ส่วนภาพกราฟิกโดยรวม ไม่ได้มีการอัปเกรดจากเกมภาคแรกมากนัก ยกเว้นมีการเพิ่มรายละเอียดใบหน้าตัวละคร แสง เงา และ Texture วัตถุกับกำแพง ให้มีความคมชัดมากขึ้น รวมถึงโทนสีภาพมีการปรับเปลี่ยนใหม่ให้ดูสมจริง
สรุป
Lost Judgment มาพร้อมเนื้อเรื่อง Action Drama เข้มข้น ที่กล้าหยิบประเด็นอ่อนไหวอย่างการกลั่นแกล้งในโรงเรียนมาเป็นธีมหลัก แม้เกมโดยรวมไม่ได้อัปเกรดจากภาคแรกมากนัก แต่ด้วยมินิเกมกับเนื้อเรื่องเสริมตลกโปกฮายังมาครบ พร้อมปรับปรุงระบบการต่อสู้และเพิ่มเกมเพลย์ให้สนุกหลากหลายขึ้น ใครที่ติดตามซีรีส์ Yakuza / Judgment ไม่มีทางผิดหวังเกมนี้แน่นอน
ข้อดี
- เนื้อเรื่องแอ็กชัน-ดราม่าน่าติดตาม ปรับปรุง Pacing ดีขึ้นจากภาคแรก
- ปรับแต่งระบบการต่อสู้ใหม่ได้ดีขึ้น และท่าต่อสู้ใหม่ Snake Style ใช้สนุก
- การนำเสนอและถ่ายทอดตัวละครได้น่าสนใจ มีเอกลักษณ์
- School Stories กับมินิเกม เล่นเพลินไม่แพ้ภาคแรก
ข้อเสีย
- ตัวเกมไม่มีการอัปเกรดจากภาคแรกมากนัก
- A.I. ในมินิเกมหุ่นยนต์ไม่ฉลาด
- ระบบ Parkour และ Stealth ไม่น่าสนใจ