หลังจากชื่อเสียเยอะในภาคแรก การกลับมาของ The Crew 2 จะสามารถทวงชื่อเสียงได้หรือไม่ ?
The Crew เป็นเกม Racing เปิดโลกกว้างที่สร้างกระแสด้วยแผนที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลโดยอ้างอิงจากทั่วประเทศสหรัฐ ระบบการปรับแต่งและรูปแบบการแข่งขันที่หลากหลาย แต่ทว่าน่าเสียดายที่ในภาคแรก คอนเซ็ปท์ดังกล่าวแม้ว่าจะทำได้จริง แต่ว่าระบบเกมเพลย์ ประสิทธิภาพภาพกราฟิก และระบบฟิสิกส์การขับรถของเกมที่ทำไม่ถึงฝัน ทำให้เกมดังกล่าวตกเป็นรายชื่อหนึ่งเกมในที่น่าผิดหวังที่สุดในปี 2014
แต่แล้วในปี 2017 เกม The Crew 2 ได้ประกาศเปิดตัวโดยเป็นการเปลี่ยนเนื้อหาให้เป็นมิตรต่อผู้เล่นมากขึ้น และทีมงานได้บอกไว้ว่าเกมภาคนี้จะเป็นการปรับปรุงข้อผิดพลาดทั้งหมดจากภาคที่แล้ว มาทำให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน
หลังจากชื่อเสียเยอะในภาคแรก การกลับมาของ The Crew 2 จะสามารถทวงชื่อเสียงได้หรือไม่ ? นี่คือบทความรีวิว The Crew 2
การแข่งขันหลากหลายรูปแบบ ยานพาหนะมีให้เลือกมากมาย
เนื้อเรื่องของ The Crew 2 จะแตกต่างจากภาคแรกอย่างชัดเจน ในภาคนี้จะไม่มีเนื้อเรื่องรูปแบบอาชญากรรมอีกต่อไป แต่จะมาในรูปแบบของการแข่งขัน Motorsport ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์ เรือ และเครื่องบิน ที่คุณจะต้องเป็น “อันดับหนึ่ง” ระดับซุปเปอร์สตาร์ของทุกวงการให้จนได้ ซึ่งเนื้อเรื่องเชิงตัวเอกไปตามความฝันสูงสุด อาจจะถูกใจหรือไม่ถูกจริตเกมเมอร์บางคน เพราะทำให้เกมไม่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจน ไม่มีเนื้อเรื่องตายตัวไม่มีจบ หรือก็คือเป็นเกมเรซซิ่งอาร์เคดเต็ม ๆ
โดยการแข่งขันจะแบ่งเป็น 4 Disciplines และจะแตกแขนงออกไปอีก 3 – 4 ประเภท
- Street การแข่งขันบนท้องถนนเมือง (Street Racing, Drift, Drag, Hypercar)
- Off-Road การแข่งขันบนพื้นที่ลาดชัน (Rally Raid, Motor Cross, Rally Cross)
- Pro Racing การแข่งขันในรูปแบบทางการ (Power Boat, Touring Car, Air Race, Alpha Grand Prix)
- FreeStyle การแข่งขันโลดแบบผาดโผน (Aerobatics, Jet Sprint, Monster Truck) และประเภทยาพาหนะมีตั้งแต่ รถสปอร์ต ไฮเปอร์คาร์ เอฟวัน เรือเร็ว เครื่องบินผาดโผน รถแรลลี่ และอื่น ๆ ให้เลือกอีกมากมาย ทำให้การแข่งขันของเกม The Crew 2 มีความหลากหลายมากกว่าภาคแรกอย่างมาก
ถึงแม้ว่ายานพาหนะจะไม่อิสระเหมือนในภาคแรกที่รถคันเดียวสามารถแข่งได้ทุกรายการ ในภาคนี้ยานพาหนะจะแบ่งออกตามสายอย่างชัดเจน แต่ก็แลกมาด้วยปริมาณรถยนต์ที่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นรถญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกัน พร้อมกับมีระบบแต่งรถที่ออกแบบมาเยอะและสวยงาม (ขึ้นอยู่กับประเภทของรถยนต์) ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกรถตกแต่งตามสไตล์ที่ตนเองชื่นชอบได้อย่างอิสระ คนที่หลงรักในการตกแต่งสะสมยานพาหนะจะต้องชอบเกมนี้อย่างแน่นอน
แผนที่ใหญ่พร้อมกับกราฟิกสวยงาม การเดินทางมีความอิสระ
The Crew 2 ยังคงตั้งฐานอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แม้ว่าแผนที่จะขนาดใหญ่เท่ากับภาคแรกแต่ก็ได้ปรับปรุงพัฒนารายละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะในส่วนของป่าไม้ และทางน้ำที่ทำออกมาได้เป็นธรรมชาติมาก ระดับเกือบเทียบเท่าเกม FarCry และด้วยระบบ Transforming ที่สามารถเปลี่ยนประเภทยานพาหนะได้ตลอดเวลา ทำให้การขับรถ Free Roam รู้สึกอิสระอย่างมาก จัดว่าเป็นระบบไม้ตายของเกมนี้
ถึงแม้ว่ากราฟิกในเกมจะแทบไม่แตกต่างจากภาคแรกเท่าไหร่นัก แต่วิชวลเอฟเฟคพวกแสง สภาพอากาศแบบไดนามิก และโมเดลได้รับการปรับปรุงทำออกมาได้ดีเยี่ยม ถึงแม้ว่าตึกราวบ้านช่องจะดูแบน และ Draw Distance ของเกมนี้จะยังแสดงผลยังไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่ภาพกราฟิกในเกมโดยรวมแล้วจัดว่าสวยสอบผ่านสมกับกราฟิกเจเนอเรชั่นในปัจจุบันครับ
สิ่งที่อัปเกรดอย่างชัดเจนในภาคนี้ก็คือระบบซาวด์ เพราะการออกแบบเสียงเครื่องยนต์ที่ทำออกมาได้ดุดันมีคุณภาพมากกว่าภาคแรก คุณได้รู้สึกถึงพลังของเครื่องยนต์ประเภทนั้นจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรือ รถยนต์ เครื่องบิน เรือ ที่สามารถซัดได้ถึงระดับรถแข่งแนวหน้าอย่าง Need For Speed ได้เลย
องค์ประกอบที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้การแสดงผลของเกมโดยรวมมีความสวยงามเป็นธรรมชาติมากกว่าภาคแรกอย่างมาก มีคุณค่าเหมาะกับกับการขับรถเล่น ๆ จากจุด A และจุด B ในระยะ 100 ไมล์ ที่คุณควรจะลองซักครั้งหนึ่งเมื่อได้ครอบครองเกมนี้
แต่น่าเสียดายที่ The Crew 2 แม้กราฟิกในเกมโดยรวมสวยก็จริง แต่สีสันในเกมรู้สึกว่างเปล่า บรรยากาศการแข่งขันก็ไม่ครึกครื้น มีเพียงแค่ผู้คนเดินข้างถนน รถยนต์สัญจรผ่านไปมา ทำให้คุณค่าในการ Free Roam ถ้านอกจากหากล่อง Loot หรือส่องสภาพแวดล้อมของเกมแล้ว แทบไม่มีให้อะไรอย่างอื่นให้ทำเลย และ ถ้าเทียบกับความเป็นเกม Open-World แล้ว เนื้อหายังคงน้อยอยู่
ระบบเกมเพลย์ และฟิสิกส์การขับรถมีการพัฒนา
สิ่งที่เกมเมอร์คาดหวังที่พบกับ The Crew 2 เป็นอย่างแรกก็คือการปรับปรุงฟิสิกส์การขับรถภายในเกมที่เป็นปัญหาหลักในภาคแรก ซึ่งภาคนี้ก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างชัดเจนกว่าภาคแรก แต่ฟิสิกส์การขับรถบางคันยังคงรู้สึกลื่น ๆ ลอย ๆ อยู่บ้าง โดยเฉพาะมอเตอร์ไซต์ และรถ Rally Cross แต่สำหรับฟิสิกส์การขับเรือ และเครื่องบินสามารถทำออกมาได้สนุกใช้ได้เลย
และเกมใจดียังสามารถปรับเซตติ้งการเลี้ยวต่าง ๆ ได้ตามที่ตนเองต้องการ หรือ อาจจะต้องสร้างความเคยชินซักพักถึงจะเอนจอยกับเกมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ระบบ Progression คือจุดประสงค์ของเกมทำยอดติดตาม Followers ให้ถึงที่กำหนดไว้เพื่อที่จะเลื่อนขั้นโดยจะไล่จาก Anonymous > Popular > Famous > Star ตามลำดับ และพอผ่านช่วงนั้นไปแล้วก็จะเป็นระดับ Icon ที่จะเป็นเปรียบเสมือนจุติในเกม MMO ก็คือเลเวลอัพแบบไม่รู้จบก็คือจาก Icon 1 ไปจนถึงสูงสุด Icon 9,999 และรางวัลก็ยิ่งเริ่มที่มีมูลค่ามากขึ้นตามเรื่อย ๆ
วิธีได้รับ Followers ก็คือมาจากการชนะการแข่งขัน ทำกิจกรรมเสี่ยงอันตราย และมิชชั่นเสริม ซึ่งมิชชั่นเสริมเป็น Challenge พื้นฐาน เช่น ทำความเร็วสูงสุด วิ่งให้ห่างจากจุดมากที่สุด และอื่น ๆ ส่วนกิจกรรมเสี่ยงอันตรายก็อย่างเช่น ขับรถสวนทาง เชียดรถสัญจร ดริฟท์ ซึ่งทำได้แค่ในโหมด Free Roam ซึ่งจะบอกว่าให้รางวัลที่ไม่ค่อยสมเนื้อเท่าไหร่นัก
ฉะนั้นการทำ Followers ที่ดี่ที่สุดก็คือการแข่งขัน แน่นอนว่าสนามแข่งรถออกแบบได้สร้างสรรค์ทำให้เกมเล่นสนุกได้ แต่เมื่อเล่นไปนานติดต่อกัน อาจจะเกิดอาการเบื่อเกมได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นการแข่งขันหลากหลายประเภทให้ไว้ เพราะได้ปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นอยู่ตลอดเวลา
การแต่งรถปรับประสิทธิภาพก็เหมือนกับภาคแรก ก็คือ คุณจะไม่สามารถซื้อได้ แต่จะได้มาจากการจบการแข่งขันโดยจะเป็นการสุ่ม Loot แต่ภาคนี้แบ่งตามสีความแรร์ของไอเท็มชัดเจน ตั้งแต่ระดับ Uncommon (สีเขียว) Rare (สีฟ้า และจะมีสกิลแบบสุ่มให้ 1 ช่อง) และ Epic (สีม่วง และจะมีสกิลแบบสุ่มให้ 2 ช่อง) หรือมาจากการสำรวจพื้นที่ตามจุดต่าง ๆ โดยจะสามารถรับรู้ได้จากเรดาร์ของเราเอง ระบบนี้จะสามารถดึงให้พยายามผู้เล่นแข่งขันตลอดเวลา ระบบนี้ขา Grinding จะต้องถูกใจอย่างแน่นอน
สิ่งที่จะยื้อเกมนี้ให้ได้นานที่สุดก็คือ Co-op Multiplayer ที่คุณสามารถที่จะตั้ง Crew สูงสุด 4 ผู้เล่น และมาเล่นร่วมสนุกหรรษากับเพื่อน ๆ ด้วยกัน เพื่อสร้างสีสันให้กับการแข่งขันรวมไปถึงโหมด Free Roam และรวมไปถึงสามารถทำลายสถิติ Leaderboard สนามแข่ง หรือจำนวน Followers สูงสุดทั่วโลกเช่นกัน แต่ก็ต้องบอกว่าด้วยเกมที่บันทึกสถิติแบบเรียลไทม์ ทำให้เกมต้องบังคับออนไลน์ตลอดเวลานะ
สรุป The Crew 2
The Crew ได้เข้ามาถูกทางอีกก้าวหนึ่งหลังจากที่สร้างชื่อเสียให้ภาคแรก แม้ว่าระบบเกมเพลย์จะธรรมดาเหมือนเกมเรซซิ่งทั่วไป ปัญหาบางอย่างยังคงต้องแก้ไขกันต่อไป และเกมรู้สึกไปไม่สุดทาง แต่ด้วยการแข่งประลองความเร็วมีความหลากหลายประเภท ยานพาหนะเยอะ การออกแบบสนามแข่งทำออกมาได้น่าตื่นเต้น ระบบ Loot Grinding ที่บางคนอาจจะชอบ หรือเกลียดไปเลย ซึ่งถ้ามองข้ามจุดบกพร่องไป โดยรวมแล้วก็ยังเป็นเกมเรซซิ่งที่มอบประสบการณ์ผู้เล่นรู้สึกสนุก และค่อนข้างเหมาะกับการเล่นกับเพื่อน ๆ ได้ดีเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นทีมงานบอกกับผู้เล่นไว้ว่า เนื้อหาตัวเกมจะมีการอัปเดทฟรี และจะมีอีเว้นท์พิเศษตลอดทุกเดือน และโหมด PvP จะมาในเร็ว ๆ นี้ในเดือนกันยายน จนถึงตอนนั้นเกมอาจจะเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้นในอนาคตข้างหน้า ตอนนี้หวังว่าทีมงานจะยังคงรักษามาตราฐานไว้หรือทำให้เกมสนุกยิ่งกว่าเดิมนะครับ