ผ่านมาได้สักพักแล้ว หลังจากเกมล่าสุดในแฟรนไชส์ล่ามอนสเตอร์ชื่อดังของ Capcom ออกวางจำหน่าย ซึ่งถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทั้งตัวเลขยอดขาย และเสียงตอบรับอันยอดเยี่ยมจากเหล่าผู้เล่น
ทำไมเกมนี้ถึงฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง และใครที่มี Nintendo Switch อยู่ในการครอบครองถึงไม่ควรพลาด ขอเชิญพบกับคำตอบได้ในรีวิว Monster Hunter Rise
Story
หมู่บ้านคามุระ คือสถานที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ร่วมกันกับ Palico, สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายแมว และ Palamute สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายสุนัขอย่างสงบสุข ทว่าก็มีเบื้องหลังที่เมื่อ 50 ปีก่อนเคยประสบกับหายนะในชื่อ ‘Rampage’ อันเป็นการรุกรานของเหล่ามอนสเตอร์จำนวนมาก จนทำให้หมู่บ้านได้รับความเสียหายร้ายแรง นำโดย Magnamalo มอนสเตอร์สุดอันตรายที่ยังไม่มีใครสามารถปราบมันลงได้
ในปีนี้ Rampage ได้หวนกลับมาอีกครั้ง ทว่ามันจะไม่เป็นเหมือนเดิมอีก เพราะคราวนี้จะมีตัวคุณ ซึ่งเป็น ‘ฮันเตอร์’ ที่ถูกฝึกฝนมาจนพร้อมสำหรับการออกสนามจริง และเหล่าชาวบ้านเองที่ก็เตรียมการรับมือไว้อย่างดีแล้ว ร่วมกันผนึกกำลังเพื่อขับไล่ฝูงมอนสเตอร์อันเป็นภัยร้ายเหล่านี้ออกไป พร้อมทั้งตามหาว่าอะไรกันแน่ ที่เป็นสาเหตุจริง ๆ ของปรากฏการณ์นี้
แม้ว่าเกม Monster Hunter จะมีพาร์ทเนื้อเรื่องที่เบาบางอยู่แล้ว แต่สำหรับ Rise ก็ยังถือว่าเดินรอยตาม World และ Iceborne อันเป็นภาคก่อนหน้าได้ในระดับหนึ่ง คือมีการใส่คัทซีนเข้ามาเพื่อเล่าอย่างเป็นเรื่องเป็นราว อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความพยายามของทีมงาน ที่ต้องการจะทำให้หมู่บ้านคามุระดูมีชีวิตชีวา จากการดีไซน์หลาย ๆ ตัวละครขึ้นมาอย่างโดดเด่น เป็นที่น่าจดจำมากขึ้นกว่าเดิม
ด้วยเหตุนี้ Monster Hunter Rise จึงมีพาร์ทเนื้อเรื่องที่เข้าใจง่าย ไม่เน้นความลึกซึ้งให้ผู้เล่นต้องใส่ใจอะไรมากไปกว่าตัว Gameplay ที่เป็นหัวใจหลักของเกม ซึ่งก็ส่งผลให้นี่ยังคงเป็นอีกภาคที่มีบทพูดดูไม่เป็นธรรมชาติ และมีความจำเจอยู่แทบทุกฉากเช่นเคย
Presentation
ถ้าหากว่า Monster Hunter World คือการยกระดับแฟรนไชส์เกมนี้ขึ้นมาให้ดูทันสมัย จนผู้เล่นหน้าใหม่อยากเข้ามาสัมผัสกันมากขึ้น
Monster Hunter Rise ก็คือการกลับคืนสู่รากเหง้าบนอุปกรณ์พกพา ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถมานั่งจับกลุ่มสุมหัว ออกล่ามอนสเตอร์ไปด้วยกันได้อีกครั้งเช่นวันวาน
ด้วยความที่ภาคนี้นำเสนอธีมญี่ปุ่นโบราณอย่างหนักแน่น จึงทำให้หลายองค์ประกอบดูชัดเจนและไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์มอนสเตอร์ใหม่ ๆ ให้อ้างอิงมาจากตำนานขบวนร้อยอสูร, เพลงประกอบที่เรียบเรียงเอาเครื่องดนตรีญี่ปุ่นเข้ามาไว้กับออเครสตร้า ไปจนถึงภาพลักษณ์ความเป็นหมู่บ้านนินจา ที่ตัวนักล่าดูคล่องแคล่วฉับไวสมน้ำสมเนื้อกับมอนสเตอร์มากขึ้น
การออกแบบงานศิลป์ของภาคนี้คือจุดสูงสุดของ Monster Hunter ที่ปรับเปลี่ยน UI ให้คล้ายภาพวาดจากพู่กัน ดูสวยงามลงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไอคอนของเหล่ามอนสเตอร์ที่เชื่อว่าน่าจะถูกอกถูกใจหลายคนมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
เอกลักษณ์อีกประการหนึ่ง คือฉากเปิดตัวของเหล่ามอนสเตอร์ ที่ภาค Rise หันมาใช้การเล่าเรื่องคลอกับบทเพลงแบบละครโนของญี่ปุ่น เสริมมนต์เสน่ห์ให้กับมอนสเตอร์แต่ละตัว ซึ่งถ้าตัวไหนที่ดีไซน์มาเท่อยู่แล้วก็คือเท่ไปเลย แต่ถ้าตัวไหนที่หน้าตาดูซื่อ ๆ แบ๊ว ๆ หน่อย แทนที่จะรู้สึกว่าขลังก็อาจจะได้กันไปหนึ่งฮา เพราะมันดูตรงข้ามกับอิมเมจจริง ๆ ที่เรารู้จักไปเยอะเหมือนกัน
เพื่อให้ได้อรรถรสสูงสุด แนะนำว่าควรปรับเสียงพากย์ของเกมเป็นภาษาญี่ปุ่น (ส่วนซับไตเติลแล้วแต่ที่สะดวก) เพราะถ้าเลือกเสียงพากย์อังกฤษไว้ ในฉากเปิดตัวมอนสเตอร์จะเปลี่ยนจากการร้องเพลงมาเป็นเสียงพากย์อังกฤษเฉย ๆ แทนอย่างน่าเสียดาย
อีกหนึ่งสิ่งที่ถูกพูดถึงอย่างมาก ก็คือการเปลี่ยนหน้าตาระบบ Canteen จากอาหารเซ็ตใหญ่ดูน่ากิน มาเป็นมื้อดังโงะน่ารัก ๆ โดยน้อง Yomogi และเหล่า Palico แทน
แต่ละครั้งที่กดกินเพื่อเพิ่มบัฟก่อนออกศึก เราก็จะได้ชมแอนิเมชันที่ถึงแม้จะเล่นซ้ำทุกรอบ แต่ก็เพลินมิรู้เบื่อ ไหนจะตัวเพลงดังโงะที่น่ารักเกินต้าน เรียกได้ว่าติดหูผู้เล่นกันไปอีกนานจนไม่อยากจะกดข้ามเลย ยกเว้นว่าเพื่อนในปาร์ตี้จะรอกันนานแล้ว
โดยรวมแล้วภาคนี้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้บรรยากาศภายในเกมออกมาดูดี ไม่ยัดเยียดวัฒนธรรมโบราณเข้ามาล้นจนดูแล้วจักจี้ จึงเข้าถึงกับทั้งผู้เล่นที่ชื่นชอบเกมฝั่งญี่ปุ่นเป็นทุนเดิม รวมถึงคนที่คุ้นชินกับเกมฝั่งตะวันตกก็เล่นได้แบบไม่เคอะเขินมากเช่นกัน
Gameplay
ระบบการเล่นของภาคนี้ได้รับการปรับปรุงให้อำนวยความสะดวกจนขึ้นมาแตะกับมาตรฐาน Quality of Life ของเกมยุคปัจจุบัน ลดความซับซ้อนจากสิ่งรอบ ๆ และไปเน้นกับแก่นหลัก ที่เป็นการเผชิญหน้ามอนสเตอร์แทน
แน่นอนว่ามันดีกับผู้เล่นใหม่ที่เข้ามาเริ่มต้นได้ง่าย แต่ในมุมของผู้เล่นเก่า ก็อาจจะรู้สึกว่าเกมขาดสเน่ห์หลาย ๆ อย่างไปเยอะทีเดียว
Wirebug, ฟีเจอร์ที่ยกระดับเกมการเล่นของ Monster Hunter ไปอีกขั้น
ผู้เล่นสามารถใช้ Wirebug ในการยิงเส้นใยเพื่อห้อยโหนไปยังพื้นที่สูง เพิ่มความคล่องตัว ซึ่งได้กลายมาเป็นที่พึ่งหลักตลอดการเล่น เพราะนอกจากใช้เคลื่อนที่แล้ว Wirebug ยังถูกนำมาผสมกับท่าโจมตีของอาวุธต่าง ๆ เกิดเป็นท่าแบบใหม่ที่เรียกว่า ‘Silkbind’ ด้วยเช่นกัน เปิดโอกาสให้สามารถครีเอตคอมโบใหม่ ๆ ขึ้นมาได้
นอกจากนั้นยังมีท่า Wirefall ที่เมื่อถูกมอนสเตอร์ซัดจนกระเด็น จะสามารถโหนเส้นใยกลับมาตั้งหลักได้โดยไม่ล้ม จนเรียกว่าแทบจะไร้เทียมทานไปเลย เพราะถ้าหากว่าตัวผู้เล่นไม่ได้บอบบางระดับที่โดน Hit เดียวลงไปกองกับพื้น ก็จะสามารถกลับมาตั้งหลักและกินยาฟื้นพลังได้ทันที ตราบใดที่ยังมี Wirebug เพียงพอต่อการใช้งานอยู่
ด้วยท่า Wirefall นี้ ทำให้ผู้เล่นแทบไม่มีโอกาสเจอกับจังหวะซิทคอมที่พอเราล้มแล้ว อาจลุกมาโดนมอนสเตอร์โจมตีซ้ำพอดีได้อีก ซึ่งจะมองว่าดีก็ดี แต่ก็น่าใจหายกับผู้เล่นเก่าที่ชื่นชอบโมเมนต์คัลท์ ๆ ชวนให้ตื่นเต้นเช่นนี้อยู่ไม่น้อย
และเพราะผู้เล่นมีตัวเลือกที่หลากหลาย ผนวกกับอาวุธที่เชื่องช้าได้ถูกกลบข้อด้อยให้ร่นระยะเข้าหามอนสเตอร์ไวขึ้นกว่าเดิม ทำให้เราจะได้เห็น Moveset ของมอนสเตอร์ที่โหดระดับนรกส่งมาเกิด แบบเดียวกับภาคเสริม Iceborne ที่รอบนี้ใส่เข้ามาด้วยตั้งแต่ High Rank ชนิดไม่ปรานี เพราะเกมได้ถือว่าคุณมี Wirebug อันทรงพลังอยู่ในมือเป็นการแลกเปลี่ยนไปแล้ว
เช่นเดียวกันกับ Level Design ที่สามารถออกแบบให้มีที่สูงได้เยอะขึ้น ใช้เป็นพัซเซิลเพื่อเข้าถึงของแรร์ / เข้าถึงแคมป์ลับได้ชาญฉลาดกว่าเดิม หรือกล่าวคือทำให้ดูเหมือนว่ามีอิสระจะเหาะเหินไปไหนก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วก็พอมีข้อจำกัดในการเดินทางเหลืออยู่บ้าง
ระบบ Switch Skill
สามารถเลือกเปลี่ยนรูปแบบท่าการโจมตีพิเศษของแต่ละอาวุธ ว่าจะใช้ท่าโจมตีแบบเดิม หรือเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น เปิดโอกาสให้ทีมงานได้ใส่ไอเดียท่าใหม่ ๆ เข้ามา ขณะที่ยังสามารถ Play Safe เก็บท่าเก่าของอาวุธในภาคก่อน ๆ ไว้ให้ผู้เล่นยังอุ่นใจกับอาวุธที่ตนเองถนัดอยู่เหมือนเดิม
และด้วยความหลากหลายที่มากขึ้น จึงทำให้ Rise เป็นภาคที่เปิดแนวทางการเล่นให้เยอะตามไปด้วย เพราะจากนี้ไปอาวุธชิ้นเดียวกัน สามารถจะมี Build ที่ทรงประสิทธิภาพต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนถนัดใน Switch Skill อะไรมากกว่ากัน
Palamute เพื่อนคู่ใจตัวใหม่ที่ทำให้เกมสนุกขึ้น
ในภาคนี้เราจะได้ขี่ Palamute แล่นไปทั่วพื้นที่อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องบ่นโอดโอยว่าพอเริ่มเควสใหม่แล้วจะต้องมาวิ่งเท้าเปล่าใหม่แบบสมบุกสมบันไปเสียทุกครั้ง
การมาของเพื่อนสี่ขาตัวนี้ บวกกับที่เกมใส่ Spiritbird ที่เก็บแล้วได้บัฟค่า Status, Wirebug เพิ่มจำนวนครั้งการใช้ และ Hunting Helper เข้ามา ล้วนแต่ส่งเสริมให้ผู้เล่นอยากออกวิ่งไปตามแผนที่มากกว่าเดิมทั้งสิ้น เพราะเรารับรู้ได้ว่าถ้ามาวิ่งเก็บสิ่งเหล่านี้ จะสร้างความได้เปรียบกับการล่ามอนสเตอร์จริง ๆ แน่นอน จากเดิมที่ออกสำรวจแผนที่เพียงเพราะต้องการฟาร์มวัตถุดิบมาใช้เท่านั้น
Multiplayer
Monster Hunter Rise ถูกพัฒนาตั้งแต่ก่อนที่ภาค World หรือ Nintendo Switch จะวางจำหน่ายเสียด้วยซ้ำ ทำให้ไม่แปลกที่ระบบ Multiplayer ของเกมนี้จะดูเหมือนถอยหลังลงมาเล็กน้อย และเปลี่ยนรูปแบบจากการยิงพลุแฟลร์เพื่อแชร์ห้อง มาเป็นการส่งนกฮูกขอความช่วยเหลือแทน
ตัวเกมแบ่งสายของเควสต์ออกไป 2 ส่วนแยกกันชัดเจน คือ Village Quest ที่บังคับให้คุณต้องลุยเดี่ยว และ Hub Quest ที่เล่นหลายคนได้, มีความโหดกว่า และเนื้อหาของเกมเต็ม ๆ จะมาอยู่ที่ส่วนนี้แทน ดังนั้นสำหรับใครที่อยากเริ่มต้นแบบเบาสบายก่อนก็สามารถมาทำความรู้จักกับภาคนี้ผ่านการไถ Village Quest ไปชิลล์ ๆ ได้ แต่ถ้าใครที่ทีมพร้อม ฝีมือพร้อม จะเริ่มลุย Hub Quest ไปรวดเดียวจบก็ได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ข้อดีหนึ่งอย่างที่พอนึกออกจากการแยกเควสต์เล่นคนเดียวและหลายคนออกจากกัน ก็คือถ้าหากว่าเล่นคนเดียว จะสามารถกด Pause เกมได้ (กดจากเมนู หรือกดปุ่ม Home ของ Switch ออกมา) ซึ่งสะดวกสำหรับสายโซโล่บนอุปกรณ์พกพาที่เอาเกมไปเล่นนอกสถานที่ ก็สามารถกด Pause ไว้ก่อน หากมีเหตุขัดจังหวะอะไรขึ้นมากลางคัน
การขี่มอนสเตอร์
จากเดิมที่เป็นสิทธิประโยชน์ของอาวุธที่มีท่าโจมตีกลางอากาศ คราวนี้ไม่ว่าคุณจะเล่นอะไรก็สามารถขึ้น ‘บังคับ’ มอนสเตอร์เท่ ๆ เข้าปะทะกับตัวอื่น สานฝันเหล่านักล่าให้กลายเป็นจริงได้แล้วใน Monster Hunter Rise
แถมการได้ขี้นขี่ก็ไม่ยากเย็น ระดับที่ว่าใน 1 เควสต์จะมีโอกาสขี่ได้ต่ำ ๆ ก็ 1 ครั้งแน่นอน หากไม่มีอะไรผิดพลาด
ระบบนี้ไม่ได้ใส่มาแค่เอาสนุก เพราะมันมีประโยชน์ดูจับต้องได้จริง ทั้งทำความเสียหายกับตัวมอนสเตอร์ที่ขี่อยู่ ด้วยการวิ่งไปชนกำแพง, โจมตีมอนสเตอร์ตัวอื่นเพื่อให้ดรอปเศษชิ้นส่วนก็ทำได้ ซึ่งไม่ว่าจะทางไหนก็สมเหตุสมผล และไม่มีอะไรให้ต้องปฏิเสธฟีเจอร์อันแสนเร้าใจนี้ไปเลย
เช่นเดียวกันกับ Wirebug, ว่านี่คือของขวัญชิ้นพิเศษที่ทำให้เกมนี้ “ผงาด” มาอีกขั้น เล่นสนุกขึ้นเป็นทวีคูณ อีกทั้งแต่ละตัวมีวิธีบังคับแตกต่างกัน ทำให้เราตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นขี่มอนสเตอร์ตัวใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ทว่าในทางกลับกัน.
โหมด Rampage ยังดูขาด ๆ เกิน ๆ ไปเยอะมาก
ด้วย Setup ของภาคนี้ที่ไม่ได้มีสเกลใหญ่โต เลยทำให้ตัด [เควสต์ประเภทหนึ่ง] ออกไป และใส่โหมดใหม่ในชื่อ Rampage เข้ามาแทน
โหมดนี้จะให้เหล่านักล่าได้เล่น Tower Defense คอยป้องกันหมู่บ้านจากฝูงมอนสเตอร์ที่บุกเข้ามาพร้อมกันเป็นจำนวนมาก
โดยเราสามารถวางแนวป้องกันได้ ทั้งปืนใหญ่, Ballista, ปืนกล, ทีเด็ดอย่าง Dragonator รวมไปถึงพา NPC ในหมู่บ้านคามุระมาร่วมเป็นหนึ่งในยูนิตช่วยสู้ได้เหมือนกัน
แม้จะฟังดูน่าตื่นเต้น แต่เอาเข้าจริงแล้วเพราะเครื่องป้องกันเหล่านี้มีประโยชน์มาก ๆ จึงทำให้บทบาทการใช้อาวุธในมือของนักล่าแทบไม่มีอีกเลย ยกเว้นว่าจะถึงช่วงที่ตัวเกมกำหนดว่าควรลงมาต่อสู้กับมอนสเตอร์เท่านั้น (อาวุธได้บัฟให้ตีแรงขึ้น)
อีกทั้งจำนวนมอนสเตอร์ที่กรูกันเข้ามาเยอะเกินไป ทำให้สเน่ห์ความเป็น Bossfight ที่ผู้เล่นควรจะต้องจดจ่อกับศัตรูเพียง 1 ตัวตรงหน้าหมดไปแบบสิ้นเชิง ความรู้สึกที่ออกมาจึงเหมือนเราไม่ได้กำลังเล่น Monster Hunter ภาคหลัก แต่เป็นเกมสปินออฟไปเลยสักเกมหนึ่งมากกว่า
สิ่งที่ต้องทำใน 1 เควสต์
การต่อสู้หลัก ๆ กับมอนสเตอร์ยังคงต้องอาศัยทั้งความแม่นยำในแต่ละจังหวะการโจมตี และต้องอดทนต่อความยืดเยื้ออยู่เช่นเคย
ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนไป คือในช่วงแรก ๆ เราจะรู้สึกว่าเกมสะดวกมาก เพราะมีตำแหน่งมอนสเตอร์ปรากฏอยู่ในแผนที่เลย จากเดิมที่ภาค World ต้องมาคอยแกะรอยมอนสเตอร์ก่อน และใช้เวลาสักพักกว่าจะไปถึงตัว
ทว่าถ้าเป็นช่วง Late Game แล้ว สิ่งที่เกิดคือภาค World จะเข้าถึงตัวมอนสเตอร์ได้เร็วขึ้นกว่า เพราะค่า Research สูงแล้วจึงพบตัวมอนสเตอร์ได้ง่าย เริ่มเควสต์มาพุ่งตรงไปหาได้เลย ขณะที่ภาค Rise ยังคงมีสปีดต่อ 1 เควสต์เท่าเดิมเสมอ คือผู้เล่นยังคงเน้นวิ่งไปเก็บบัฟ, เก็บ Hunting Helper ที่จำเป็นมาใช้ แล้วค่อยมุ่งหน้ามาจัดการกับอาหารจานหลักอีกที
โดยส่วนตัวแล้วจึงมองว่าภาค World ค่อนข้างจะมีภาษีดีกว่า เพราะสำหรับเกมที่ต้อง Grinding สู้กับมอนสเตอร์อยู่ซ้ำ ๆ การวิ่งเก็บบัฟให้พร้อมก็แอบดูมีความน่ารำคาญอยู่ จนบางทีก็ไม่ได้สนใจ พุ่งขี่ Palamute เข้าไปสู้มันดื้อ ๆ แบบตามมีตามเกิดเลยก็มีเหมือนกัน
User Experience
ในภาค Rise, ชื่นชมว่าทีมงานทำการบ้านมาดีมาก จนตัวเกมออกมาดูเป็นมิตรขึ้นกับในหลาย ๆ ฟังก์ชัน ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีประสบการณ์การเล่นดีขึ้นกว่าเดิม
- ตัดการสุ่มที่หลาย ๆ คนขยาดออก ให้เหลือแค่เท่าที่จำเป็น คือการดรอปชิ้นส่วนแรร์ของมอนสเตอร์บางอันที่ยังคงต้องพึ่งดวงอยู่
- เพชรประดับที่ใส่เพื่อเอาสกิล Passive แบบต่าง ๆ ในภาคนี้เปลี่ยนกลับมาให้สามารถ Craft ได้จากชิ้นส่วนของมอนสเตอร์แล้ว
- การได้มาซึ่ง Talisman (อุปกรณ์สวมใส่) ระดับท็อป ต้องใช้ดวงอย่างถึงที่สุด แต่ถ้ารู้สึกว่าสุ่มไม่ไหวก็ยังพอจะใช้ของเท่าที่มีไปก่อนได้
- ในหน้าสร้างตัวละคร ถึงแม้จะยังปรับลักษณะร่างกายไม่ได้มาก แต่ก็มีให้ปรับเปลี่ยน Background เพื่อดูหลาย ๆ สภาพแวดล้อม ลดปัญหาเรื่องพอเอาไปเล่นจริงแล้วตัวละครมีสี / แสงเงาไม่ตรงกับที่เคยสร้างไว้
- เพิ่มเมนู Action Bar เข้ามาเพื่อแยก Gesture, สติกเกอร์ และฟังก์ชันอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้ออกไปเลย ทำให้ไม่เปลืองสลอตกับเมนูลัดส่วนอื่น ๆ ที่เกมมีให้
- Hunting Helper ที่เก็บได้ จะไปอยู่ลำดับหลังสุดของเมนูไอเท็มลัดเสมอ ทำให้เลื่อนหาเจอและใช้งานได้ไว โดยส่วนหนึ่ง สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็มีความน่าใช้อยู่พอสมควรด้วย การไม่ต้องคอยมาตั้ง Shortcut เพิ่มเติม (ซึ่ง Helper ในเกมมีเยอะ) จึงถือเป็นเรื่องดี
- ตัดการดื่ม Hot Drink / Cool Drink ในเขตที่มีอุณหภูมิหนาวจัด / ร้อนจัดออกไป ลด 1 ปัจจัยที่ผู้เล่นต้องคอยพะวงก่อนออกล่า และเริ่มเควสต์ได้แบบสบายใจขึ้น
- ในภาค Iceborne ทีมงานเคยเปิดเผยว่าออกแบบให้ฐาน Seliana มีตำแหน่งของจุดสำคัญต่าง ๆ ใกล้กัน เดินไปหากันสะดวกขึ้น ซึ่งถ้าใครคิดว่านั่นโอเคแล้ว จะต้องชอบใจสุด ๆ กับภาค Rise ที่เกมเปิดอิสระให้สามารถ “วาร์ป” ไปมารอบหมู่บ้านได้ทันทีจากตำแหน่งใดก็ได้ ที่สำคัญคือมันใช้เวลารวดเร็วมาก ด้วยการ Fade-in และ Fade-out เพียง 1-2 วินาทีเท่านั้นเอง
- การเตรียมตัวก่อนเริ่มแต่ละเควสต์ จึงทำได้รวบรัดประหยัดเวลากว่าที่เคย
- เพื่อชดเชยเรื่องกราฟิก เอฟเฟคต์การโจมตีของอาวุธระยะใกล้ในภาคนี้จะมีเส้นสีขาว ๆ ให้เห็นชัดเจน ถึงจะดูมีความไม่สมจริงอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้เรากะขอบเขตการโจมตีได้ และสำหรับหลาย ๆ ท่าพิเศษก็จะรู้ง่ายขึ้นว่ากดสำเร็จแล้วหรือไม่
- มอนสเตอร์ที่ใกล้ตาย จะมีสัญลักษณ์สีฟ้าขึ้นอยู่ด้านล่างของไอคอนให้เห็นชัดเจน เป็นสัญญาณบอกว่าสามารถจับได้แล้ว และจะไม่เสียไอเท็มกับดักไปฟรี ๆ แน่นอนจากการมารู้ทีหลังว่ายังจับไม่ได้
- พอจับมอนสเตอร์แล้ว จะไม่มีให้ไปสู้กันต่อที่ Arena จึงมีผลแตกต่างจากการฆ่าเพียงแค่ของรางวัลเท่านั้น ตรงส่วนนี้ทำให้หากเล่นแบบหลายคน อาจเกิดปัญหาว่าถ้าคุณต้องการชิ้นส่วนมอนสเตอร์ที่ได้จากการฆ่า จะมีโอกาสได้ยากกว่าเดิมหากสื่อสารไม่เข้าใจกัน เพราะอาจมีบางคนลักไก่จับมอนสเตอร์ก่อนตายเพื่อให้รีบจบเควสต์ไปไว ๆ ได้
- สกิลที่ได้จากการกินอาหาร (ดังโงะ) เข้าใจง่ายขึ้นมาก ดังโงะ 1 ชิ้นได้รับ 1 สกิล และเลือกได้อย่างอิสระ ต่างจากภาค World ที่ต้องผสมอาหารประเภทเดียวกันหลาย ๆ อันเพื่อให้ได้รับบางสกิลมาใช้ หนำซ้ำยังต้องทำเควสต์/เก็บไอเท็มพิเศษตามแผนที่เพื่อปลดล็อควัตถุดิบที่จำเป็นมาให้ครบก่อนด้วย
- เลือกเอามอนสเตอร์ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของเกม มาอยู่ในภาคนี้ได้แบบสมดุล มีทั้งมอนสเตอร์หน้าใหม่ , มอนสเตอร์เท่ ๆ ที่ดูแล้วเข้ากับธีมความเป็นญี่ปุ่น รวมถึงมอนสเตอร์คลาสสิคที่เป็น Must-have ของซีรีส์ ซึ่งถือว่าน่าพึงพอใจ เพราะก่อนหน้านี้ส่วนตัวค่อนข้างกังวลว่าภาค World / Iceborne จัดเต็มกับรายชื่อมอนสเตอร์มาก แล้วภาคต่อมาจะทำได้ในระดับนั้นหรือไม่ ซึ่งพอได้เห็นภาค Rise เข้าจริง ๆ ก็สบายใจขึ้นเยอะ
- รูปแบบการนำเสนอเนื้อเรื่องผ่าน Village Quest กับ Hub Quest ค่อนข้างจะไม่เคลียร์ โดยเฉพาะในช่วงท้ายที่หลายคนอาจงง ๆ ว่ามีต่อหรือไม่, เล่นครบเนื้อหาแล้วหรือยัง
- ด้วยความที่ผู้เล่นสามารถพา Palamute / Palico มาร่วมสู้ในโหมด Multiplayer ได้ ทำให้สถานการณ์จริงจะมีถึง 8 ชีวิตมะรุมมะตุ้มอยู่กับมอนสเตอร์ตัวเดียว ดูแล้วรกจอและมองอะไรไม่ค่อยออกอยู่เหมือนกัน
- โดยรวม, แม้ Monster Hunter Rise จะไม่ได้ออกแบบมาให้ตอบโจทย์กับการใช้งานของผู้เล่นมากเท่ากับเกมดัง ๆ เกมอื่นในตลาด แต่นี่ก็ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีที่สุดแล้ว ที่อย่างน้อยก็น่าจะทำให้สามารถจับกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นกว่าทุก ๆ ภาคที่ผ่านมา
Performance
ด้วยขุมพลังของ RE Engine ทำให้เกมนี้สามารถรีดประสิทธิภาพของเครื่อง Nintendo Switch ออกมาหมดทุกหยด เช่นเดียวกับที่ต้องชมทีมงานว่า Optimize เกมออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว
ประการแรก คือตัวเกมใช้เวลาในการโหลดเข้าเควสต์ไวมาก ๆ อยู่ที่เพียงประมาณ 10 วินาทีเท่านั้น
ซึ่งถ้าใครผ่านภาค World หรือก่อนหน้านั้นไปอีกอย่าง XX (ที่ลงให้ Switch เหมือนกัน) จะทราบดีว่าความเร็วระดับนี้มันชวนช็อคเพียงใด และที่สำคัญ ก็คือนี่เป็นส่วนที่ใช้เวลารอนานที่สุดของเกมแล้ว..
เพราะในส่วนอื่น ๆ แทบจะไร้รอยต่ออย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนฉากระหว่างหมู่บ้านอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้า และการเดินทางไปทั่วแมพที่จะไม่มีหน้าโหลดมาคอยกวนใจแบบภาคเก่า ๆ (บนอุปกรณ์พกพา) อีกต่อไป
ด้วยข้อจำกัดของชิปประมวลผล ทำให้น่าเสียดายเอามาก ๆ ว่าเกมนี้มีองค์ประกอบที่ยอดเยี่ยมเต็มไปหมด แต่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดได้ และแฟน ๆ จะต้องรอภาคอื่นแทน หากต้องการจะเห็น Monster Hunter ที่มีกราฟิกแบบ Next-Gen กันอีกครั้ง
การแสดงผลหลายอย่างจำเป็นต้องโดนจำกัดลง อาทิ Field of View ที่มองเห็นไอเท็มแค่ในระยะหนึ่งเท่านั้น ทำให้มีโอกาสพลาดจุดเก็บวัตถุดิบตามแผนที่ไปถ้าจำตำแหน่งไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าขี่ Palamute อยู่ด้วย ก็จะยิ่งเคลื่อนที่ผ่านไปไวจนพอเข้าถึงระยะที่มองเห็นไอเท็มได้ กลับสังเกตไม่ทัน และขี่เลยไปเสียก่อน
เช่นเดียวกันกับมอนสเตอร์ตัวเล็กตัวน้อย ที่ถ้าอยู่ไกลออกไปจะยังคงโดนปรับลด Framerate ลงมาแบบเห็นได้ชัดมาก (อยู่ที่แถว ๆ 10fps เท่านั้น) จนอาจบอกได้ว่าทีมงานพยายามที่จะลดทอนกราฟิกที่ไม่จำเป็นออกไปเยอะจริง ๆ เพื่อให้กราฟิกโดยรวมของเกมยังคงออกมาดูดีอยู่
ในด้านบั๊กของเกม ก็ยังคงมาตรฐานไว้ดีว่าแทบไม่พบเลย นอกจากเรื่องที่มอนสเตอร์จะมีอาการหลงตำแหน่งที่สูง-ที่ต่ำ อยู่บ้าง ซึ่งตั้งแต่เล่นมาเราก็เจอเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น (กับ Almudron) และก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรจนทำให้ Gameplay ต้องติดขัดลงไป
เรื่องที่น่าหงุดหงิดอยู่จริง ๆ เห็นจะเป็นมุมกล้อง Focus Camera ซึ่งหากใครชินกับเกม Action RPG สมัยใหม่ ที่กล้องจะหันไปหาศัตรูตัวที่ล็อคเป้าอยู่เสมอ จะพบว่าภาคนี้เลวร้ายมาก ๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องคลุกวงในกับมอนสเตอร์ เพราะมันจะสะบัดหนักจนเล่นต่อไม่ไหว ต้องกดเปลี่ยนเป้าไปเป็นอย่างอื่นก่อนเลย จนได้เข้าใจว่าทำไมภาคนี้ถึงไม่ได้ตั้งให้ Focus Camera เป็นค่า Default มาให้ และต้องจำใจกลับไปหมุนกล้องเอาเองแบบ Old School อย่างเลี่ยงแทบไม่ได้
Verdict
Wirebug เข้ามาพลิกโฉมเกมการเล่นให้มีความฉับไวและโลดโผนขึ้นมาก จนอาจทำให้ไม่อยากกลับไปเล่นภาคเก่า เพราะมันช้าไม่ทันใจอีกต่อไปแล้ว
ตัวเกมถูกปรับปรุงให้มีความสะดวก เข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม เมื่อผสานกับความโหลดไวระดับเกือบจะไร้รอยต่อ
จึงพูดได้เต็มปากว่านี่คือ Monster Hunter ที่เป็นมิตรที่สุดตั้งแต่เคยมีมา
แม้จะยังคงมี Learning Curve ที่สูงสำหรับมือใหม่ แต่ทุกระบบก็ถูกออกแบบมาดี เป็นปึกแผ่น จนสามารถทำความคุ้นชินกับลูกเล่นใหม่ ๆ ได้ โดยไม่ทิ้งการต่อสู้อันดุเดือดกดดัน ที่เป็นหัวใจหลักของเกมไป
นับเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์อันยอดเยี่ยมบน Nintendo Switch และเป็นเวทีแห่งใหม่ที่ควรค่าแก่การปักหลักเล่นแบบจริงจัง เพราะเช่นเคยว่า Capcom ก็จะยังคงมีคิวอัปเดตเนื้อหาใหม่เข้ามาให้เล่นกันอีกยาว ๆ อย่างแน่นอน
ข้อดี
- เกมเร็ว ตัดทอนส่วนไม่จำเป็นออกไปเยอะ แต่ยังคงได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ากลับมา
- เป็นมิตรกับมือใหม่ ด้วย Quality of Life ที่ดีขึ้นแบบเห็นได้ชัดเจน
- Monster Hunter ที่ออกแบบงานศิลป์ดีที่สุด
- ลื่นไหลตลอดทั้งการเล่น เหลือจุดให้ต้องรอโหลดจริง ๆ อยู่น้อย
ข้อด้อย
- ลดสเกลทั้งกราฟิกและเนื้อหาลงมา ไม่รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่เท่ากับภาค World
- ประสิทธิภาพถูกจำกัดด้วยสเปคเครื่อง Nintendo Switch
- มุมกล้องแบบ Focus Camera ยังไม่ดีเท่าที่ควร
- การแปลเป็นภาษาอังกฤษ มีตกหล่นทั้งเขียนคำผิดและอธิบายบางสกิลไม่เคลียร์
- โหมด Rampage ยังต้องได้รับการปรับปรุงอีกเยอะมาก