บัญญัติมือสังหารล่าข้ามโลก “ลำนำท่องแดนแห่งทวยเทพ” รีวิวเกม Assassin’s Creed ที่ดีที่สุดภาคหนึ่ง
นี่คือ Assassin’s Creed ที่ดีที่สุดในยุคนี้
หากมองจากภายนอกทุกอย่างภายในตัวเกม Assassin’s Creed Odyssey “เหมือนจะ” เป็นการหยิบเอาภาค Origins มาแต่งตัวใส่ชุดใหม่ เปลี่ยนเนื้อหาเรื่องราวในอียิปต์โบราณมามีฉากหลังเป็นกรีกในยุคที่โบราณกว่าเดิม แต่เมื่อมองเจาะลึกลงไปภายใน Odyssey มีหลายอย่างที่ถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้แข็งแกร่งและดียิ่งกว่าภาค Origins ไปอีกระดับจนอาจพูดได้ว่านี่คือ “Assassin’s Creed ที่ดีที่สุดที่เคยมีมา”
ใครที่ชอบภาค Origins อยู่แล้วก็น่าจะชื่นชอบภาคนี้ได้ไม่ยาก เพราะการบังคับหรือรูปแบบการเล่นส่วนใหญ่ก็ยังคงเดิมเสริมเติมด้วยลูกเล่นและการปรับปรุงระบบเดิมให้ดีกว่าเก่า สำหรับจุดที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดก็คือความเป็นเกม RPG ที่ถูกพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นจากระบบ “ทางเลือก” ที่ดูจะเป็นไม้เด็ดสำคัญของตัวเกมภาคนี้
ทางเลือกที่ว่ามีให้คุณเลือกตั้งแต่เริ่มเกม คุณจะได้เลือกว่าจะสวมบทเป็นใครระหว่างตัวละครชาย Alexios หรือตัวละครหญิง Kassandra ด้านเนื้อเรื่องหลักและระบบการเล่นทั้งคู่ไม่มีอะไรแตกต่างกัน จุดที่ต่างกันเป็นเรื่องของการพูดคุยโต้ตอบระหว่างคุณและตัวละครในเกมและเสียงพากย์ ดังนั้นคุณสามารถเลือกเล่นเป็นใครก็ได้ตามที่ใจต้องการ
มหากาพย์ Odyssey
เรื่องราวในเกม Assassin’s Creed Odyssey จะใช้ช่วงเวลา 243 ปีก่อนคริสตกาลเป็นฉากหลัง เนื้อหาส่วนใหญ่ของเกมจะเกี่ยวข้องกับ สงครามเพโลปอนเนเชียน (Peloponnesian War) ซึ่งเป็นสงครามความขัดแย้งระหว่างฝั่งเอเธนส์และฝั่งสปาตาร์ การย้อนหลังกลับไปไกลขนาดนี้ทำให้ Odyssey ถือเป็นเกมตระกูล Assassin’s Creed ที่มีเนื้อหาย้อนเวลากลับไปไกลที่สุดเท่าที่เคยสร้างกันมา ถึงอย่างนั้นก็ตามช่วงเวลาของสงครามเพโลปอนเนเชียนเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจทั้งเรื่องของชนชั้นในสังคม เรื่องราวการเมืองความขัดแย้ง สงคราม ความเชื่อต่อเหล่าทวยเทพ แม้ตอนประกาศสร้างหลายคนจะเป็นกังวลว่าตัวเกมภาคนี้อาจมีแค่ชื่อที่เป็น Assassin’s Creed แต่ทีมงาน Ubisoft ผูกโยงเรื่องได้ดีจนเราสามารถมองข้ามความไม่เป็น “มือสังหาร” ไปได้
ตัวเนื้อเรื่องหลักมีความเข้มข้นและน่าสนใจเลยทีเดียว โดยรวมแล้วผมชอบเนื้อหาหลักของภาคนี้มากกว่า Assassin’s Creed ภาคอื่นหลายภาคและมีความรู้สึกอยากติดตามชะตากรรมของเหล่าตัวละครแบบต่อเนื่อง Alexios และ Kassandra ถือเป็นตัวละครที่น่าสนใจเพราะเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้พวกเขาเป็นคนยังไง แต่จากเสียงพากย์และตัวบท (โดยเฉพาะเสียงพากย์ฝั่ง Kassandra) ตัวเอกภาคนี้จัดว่ามีเสน่ห์และน่าจดจำกว่าตัวเอก Assassin’s Creed หลายภาคที่ผ่านมา
น่าเสียดายที่ตัวเกมมีการใส่ภารกิจน่าเบื่อเข้ามาคั่นจังหวะการเล่าเรื่อง หลายครั้งผมต้องทนทำภารกิจที่ดูไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่เพื่อจะพาตัวเกมให้ไปถึงจุดสำคัญของเนื้อเรื่อง แต่โดยรวมแล้วเรื่องราวของ Alexios และ Kassandra ก็ยังถือว่าน่าติดตามจัดเป็นมหากาพย์ที่เต็มไปด้วยความดราม่าผสมกับความเฮฮาตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้านับเฉพาะเนื้อเรื่องหลัก Odyssey น่าจะติดอันดับต้น ๆ ของ Assassin’s Creed
ด้านเนื้อหาในโลกยุคปัจจุบันกับเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างเหล่า Templar และมือสังหารก็ยังคงมีอยู่แต่ถูกผลักออกไปไม่เน้นความสำคัญเท่าไหร่ ซึ่งตัวเนื้อเรื่องของยุคนี้ก็ยังสานต่อการผจญภัยของ Layla Hassan ที่งวดนี้โดดมาร่วมฝ่ายมือสังหารแบบเต็มตัว แต่ความเข้มข้นจริง ๆ ของเนื้อหาก็ยังอยู่ที่เรื่องราวในยุคอดีตมากกว่าเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลงครับ
บัญญัติมือสังหาร บัญญัตินักล่า บัญญัตินักรบ
ตัวเกมภาคนี้ยังคงผสมผสานความเป็นเกม Action RPG ไว้ด้วยกันเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือลูกเล่นใหม่ในหลายจุด อย่างแรกที่ต้องพูดถึงคือระบบตัวเลือกทั้งระหว่างการสนทนาและภารกิจนอกจากเราจะสามารถเลือกตอบโต้กับ NPC ได้ตามต้องการ (แต่ส่วนใหญ่ก็มีให้เลือกแค่สองสามแบบ) เรายังมีตัวเลือกในการทำภารกิจมากขึ้น เช่นในภารกิจทวงเงินเราสามารถเลือกข่มขู่เป้าหมายด้วยการทำลายสินค้า เลือกสังหารเป้าหมายทิ้งแล้วชิงเงินมา หรือแอบไปขโมยเงินมาจากบ้าน หรือในภารกิจตามหาสมบัติโบราณเราก็สามารถเลือกเก็บสมบัติเอาไว้เองไม่นำไปมอบให้ผู้จ้างงาน ตัวเลือกต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลน้อยใหญ่แตกต่างกันไปทั้งในภารกิจหลักและภารกิจรอง ทำให้ Odyssey ยังเป็นเกมภาคแรกของตระกูลนี้ที่มีฉากจบหลายแบบอีกด้วย
อีกส่วนที่ถูกยกเครื่องใหม่คือระบบ Skills ในภาคนี้ความสามารถของตัวเอกยังถูกแบ่งเป็นสามสายเหมือนเดิมคือสายนักรบ นักล่า และมือสังหาร นักรบเน้นการต่อสู้แบบซึ่งหน้า นักล่าเน้นการใช้ธนู และมือสังหารก็เน้นการลอบฆ่าและตัดกำลังศัตรู ทักษะต่าง ๆ เหล่านี้มีให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลายตามสไตล์การเล่นที่เราเลือก ภาคนี้ความสามารถต่าง ๆ ยังมาพร้อมปุ่มกดให้เราเลือกใช้งานออกท่าตามต้องการเช่นท่าลูกถีบสปาร์ตันหรือท่าธนูสังหารเราสามารถเลือกตั้งปุ่มกดได้ตามความถนัด
ระบบ Item และชุดเกราะก็ถูกพัฒนาขึ้นจากเดิม ภาคนี้ตัวเกราะทุกส่วนจะถูกแยกชิ้นและมีค่าสถิติพลังป้องกันและบวกโบนัสพิเศษให้เราแตกต่างกันออกไปใครที่คิดว่าภาคที่แล้วมีชุดให้เลือกใช้น้อยไปหน่อยดีใจได้เลยเพราะภาคนี้ขนมาให้เลือกใช้แบบเท่ ๆ เต็มไปหมด ระบบอัพเกรดก็ถูกปรับปรุงใหม่ นอกจากการอัพเกรดเพื่อเพื่มระดับให้อาวุธและชุดเกราะเรายังสามารถ “ลงอักขระ” เพื่อเพิ่มค่าพลังแบบพิเศษให้อาวุธและชุดป้องกัน ตัวโบนัสค่าพลังก็มีตั้งแต่การโจมตีด้วยอาวุธแรงขึ้น ใช้ธนูแรงขึ้น หรือเพิ่มโอกาสในการโจมตีแบบ Critical
ระบบการต่อสู้ก็ถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ ภาคนี้การควบคุมถูกปรับปรุงให้ตอบสนองรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม และภาคนี้เราจะไม่มีโล่อีกแล้วดังนั้นการป้องกันในภาคนี้จึงเป็นการปัดป้อง Parry หรือหลบเพื่อรอจังหวะสวนกลับ ในความยากระดับ Normal ตัวเกมก็ถือว่ามีความท้าทายพอสมควรแต่ผมแนะนำให้คอเกม Action RPG ขยับไปเล่นที่ระดับ Hard จะได้รับความสนุกในแบบพอเหมาะพอดีครับ
ดินแดนแห่งทวยเทพ
จุดที่เปลี่ยนแปลงไปอีกอย่างของตัวเกมภาคนี้คือการที่ทีมงานรังสรรค์สภาพแวดล้อมที่ไม่ได้เน้นความสมจริงขึ้นมาเพียงอย่างเดียว การใช้สิ สิ่งของกระกอบฉาก ทั้งหมดถูกจินตนาการขึ้นมาใหม่ให้เป็นการผสมกันระหว่างประวัติศาสตร์จริงและความแฟนตาซีผลที่ได้รับคือฉากในเกมนั้นมีความสวยงามเป็นอย่างมาก สีสันและของประกอบฉากชวนให้เราอยากออกเดินทางไปสำรวจทุกมุม อีกจุดที่ต้องพูดถึงก็คือขนาดของแผนที่ Odyssey ได้ชื่อว่าเป็น Assassin’s Creed ที่มีแผนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างกันมา ด้วยขนาด 100 ตารางไมล์ ทั้งบนดินและในน้ำทุกมุมของเกมเต็มไปด้วยพื้นที่ ศัตรู และของน่าสนใจรอให้คุณไปค้นพบ
ระบบใหม่อีกอย่างที่ฝังไว้กับแผนที่ขนาดใหญ่ของเกมภาคนี้คือระบบสงครามหัวเมืองทั้ง 28 แห่งในเกมมีฝ่ายเอเธนส์และฝั่งสปาตาร์ครอบครองอยู่ ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายครอบครองเราสามารถดูได้จากสีของกรอบพื้นที่ ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าช่วยเหลือมีส่วนร่วมในการทำสงครามหรือไม่ ซึ่งภารกิจเหล่านี้ก็จะเป็นการทำลายเสบียง ขโมยหีบ จัดการหัวหน้าเขตแดน เมื่อค่าพลังของหัวเมืองลดต่ำจนถึงจุดที่กำหนดสงครามในชื่อ Conquest Battle ก็จะเริ่มต้นขึ้น การรบขนาดใหญ่นี้มีทั้งแบบฉากการรบทางเรือบนน้ำและสงครามบนบก คุณจะได้เห็นทหารจำนวนนับร้อยเข้าต่อสู้กัน ผู้เล่นสามารถเลือกเข้าร่วมสงครามเพื่อรับโบนัสเป็น Item แต่น่าเสียดายที่ระบบสงครามนี้แทบจะไม่มีผลกับเนื้อเรื่องโดยรวมของเกม
ระบบอีกอย่างที่ผูกรวมเข้ากับโลกในเกมคือระบบ Mercenary System ทหารรับจ้างที่ถูกสุ่มสร้างขึ้นมาแบบเหล่า Orc ใน Middle-earth: Shadow of War จะคอยออกตามล่าคุณเมื่อค่าหัวของคุณเพิ่มมากขึ้นจากการทำกิจกรรมในเกม ศัตรูประเภทนี้เป็นเหมือนกับศัตรูระดับ Boss ที่จะคอยออกเดินทางตามล่าคุณในฉาก การสังหารศัตรูประเภทนี้จะมอบ Item พิเศษให้กับคุณ การสังหารศัตรูประเภทนี้ยังเป็นการไต่ระดับ Rank ของคุณเอง ยิ่งคุณ Rank สูงขึ้นคุณก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ใหม่ ๆ อีกด้วย
ข่าวดีสำหรับคนที่ชื่นชอบระบบขับเรือจากภาค Black Flag (และข่าวร้ายสำหรับคนไม่ชอบ) ก็คือระบบการขับเรือถูกนำกลับมาใช้ในภาคนี้ ตัวเอกจะเป็นเจ้าของเรือ The Adestria ตัวเรือมาพร้อมระบบการต่อสู้ทางน้ำแบบเต็มรูปแบบ ศัตรูในเกมแทบทุกตัวยังสามารถถูก “ชวน” ให้เข้าร่วมเป็นลูกเรือของคุณ คุณยังสามารถปรับแต่งและอัพเกรดเรือของคุณได้อย่างเต็มรูปแบบ ระบบทุกอย่างภายในเกมจึงเชื่อมโยงเข้าหากันระหว่างทำภารกิจบนบกคุณก็ยังสามารถวางแผนได้ว่าจะอัพเกรดอะไรให้กับเรือของคุณ
ครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพ
Odyssey ถือเป็นเกม Assassin’s Creed ที่ดีที่สุดของยุค ทีมงาน Ubisoft จัดเต็มอัดแน่นทุกอย่างเข้าไปภายในเกม นี่เป็นการยกระดับเกม Open World ของค่าย Ubisoft ขึ้นไปอีกขั้น ในส่วนของระบบการเล่นรวมและโลกภายในเกมนั้น Odyssey ถือได้ว่ายอดเยี่ยม แต่เพราะตัวเกมยังคงระบบและเอนจิ้นเดิมจากภาค Origins เอาไว้ดั้งนั้นใครที่ไม่ชอบระบบการเล่นของภาคดังกล่าวก็ “อาจจะ” ไม่ชอบตัวเกมภาคนี้ อย่างระบบการต่อสู้เองแม้จะมีความท้าทายในช่วงแรกแต่พอถึงช่วงหลังในความยากระดับ Hard ลงมาพอคุณมีของครบจัดเต็มการต่อสู้ก็ดูจะลดความท้าทายลงไป ข้อด้อยอีกจุดก็คือภารกิจรองที่มีการออกแบบที่ค่อนข้างจะซ้ำ ๆ แม้บางอันจะมีเนื้อเรื่องเบื้องหลังที่น่าสนใจแต่โดยรวมคุณก็จะวนเวียนกับการทำภารกิจแบบเดิม ๆ เช่นเดียวกับในภาค Origins และเกม Assassin’s Creed ภาคอื่น ๆ
ฝั่งประสิทธิภาพของตัวเกมนั้นบน PC ข่าวดีคือตัวเกมกินเครื่องน้อยกว่าภาค Origins ดังนั้นหากเครื่องคุณเล่นภาค Origins ได้อยู่แล้วก็ไม่ต้องกังวล ส่วนบน Playstation 4 และ Xbox One ตัวเกมจะทำ FPS ได้อยู่ที่ระดับ 30 FPS แต่งานภาพก็มีความสวยงามและเต็มไปด้วยรายละเอียด ปัญหาก็คือบน Console ตัวเกมใช้เวลาโหลดค่อนข้างนานจนสังเกตได้เลยทีเดียว ปัญหาอีกจุดคือบนทั้ง 3 เครื่องผมพบปัญหาการโหลดของของประกอบฉาก ระหว่างการวิ่งสำรวจในแผนที่เราจะมองเห็นสิ่งของ Pop Up ปรากฎตัวขึ้นมาให้ขัดใจเป็นระยะ
หากตัดชื่อ Assassin’s Creed ออกไป Odyssey ก็สามารถยืนหยัดเป็นเกมตระกูลใหม่ของตัวเองได้อย่างสมศักด์ศรีหรือต่อให้มองในฐานะเกมตระกูล Assassin’s Creed นี่ก็คือเป็นตัวเกมที่สดใหม่และมีการนำเสนอที่ยอดเยี่ยมและน่าสนใจ
เตรียมเวลาของคุณให้พร้อมเพราะนี่คือเกมที่สามารถสูบเวลาชีวิตของคุณให้หายไปได้ 60 – 70 ชั่วโมงอย่างง่ายดาย ถ้าคุณชื่นชอบเกม Action Rpg หากคุณรักการผจญภัยในโลกกว้าง นี่คืออีกหนึ่งว่าที่เกมแห่งปีสำหรับคุณ และหาก Ubisoft สามารถรักษาฟอร์มร้อนแรงจากเกมนี้เอาไว้ได้ผมเองก็รอแทบไม่ไหวแล้วว่า Assassin’s Creed ภาคต่อไปจะปรากฎตัวในรูปแบบใด