ผ่านไป 10 ปี จากการวางจำหน่ายเกม Tales of Vesperia หรือ Tales ภาคที่ 10 ได้ออกวางจำหน่ายผ่าน Xbox 360 ในปี 2008 และรับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาคที่ดีที่สุดในบรรดาซีรี่ส์ทั้งหมด เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองอายุ 10 ปี และความสำเร็จของเกมนี้ ทาง Bandai Namco Games ได้ประกาศทำเกม Tales of Vesperia Definitive Edition สำหรับ PC, PlayStation 4, Xbox One และ Nintendo Switch ในช่วงงาน E3 2018 ที่ผ่านมา
แต่ Tales of Vesperia เป็นเกมยุค Last Generation โดยระบบเกมบางอย่างได้ล้าหลังไปแล้วในเกม Generation นี้ แต่ตัวเกมยังคงเล่นสนุกในปี 2019 หรือไม่? และนี่คือ Review: Tales of Vesperia Definitive Edition
เนื้อเรื่องเพลิดเพลิน ตัวละครโดดเด่นตามสไตล์อนิเมะญี่ปุ่น
Tales of Vesperia เป็นเนื้อเรื่องการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของ Yuri Lowell และเหล่าเพื่อนพ้องที่ออกเดินทางทั่วทวีป Terca Lumireis โดยนักผจญภัยแต่ล่ะคนจะมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกัน
ก็ต้องบอกเลยว่าการนำเสนอเนื้อเรื่องของเกมนี้มีกลิ่นอายอนิเมะเต็ม 100% ถ้าหากคุณเคยเล่นเกม JRPG หรือดูอนิเมะประเภทผจญภัยแฟนตาซี คุณจะเข้าใจทันทีว่าการดำเนินเนื้อเรื่องของเกมนี้จะเป็นอย่างไร
เนื้อเรื่องของ Tales of Vesperia จะดำเนินค่อนข้างช้า เพราะระหว่างการผจญภัยมักจะมีอุปสรรคคอยขัดขวางการเดินทางอยู่เสมอ แล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง พระเอกได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาประจำเมือง ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของกลุ่มพระเอกที่จะต้องช่วยสะสางปัญหา ทำให้เนื้อเรื่องของเกมจะขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่เข้าประเด็นเนื้อเรื่องหลักอยู่ตลอดเวลา
แต่โชคดีที่ตัวละครของเกมนี้ได้ผ่านการเขียนบทอย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะ Yuri Lowell พระเอกของเกมที่เป็นอดีตนักรบทหารให้กับพระราชอาณาจักร เขามีนิสัยชอบประชดและชอบแหย่ทุกคนในกลุ่ม แต่ในใจแล้ว เขาเป็นคนดีคนหนึ่งที่อยากช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ ต้องยอมรับเลยว่าผู้เขียนถูกโฉลกกับตัวละครเอกนี้มาก
ไม่ใช่เพียงแค่ Yuri คนเดียวที่โดดเด่น แต่รวมไปถึงสมาชิกคนอื่น ๆ เช่น เจ้าหญิง Estellise ที่มีนิสัยสุภาพสตรี รักความรู้, Rapede สุนัขที่ไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นสุนัข, Karol นักล่ามอนสเตอร์ตัวจิ๋วที่มาพร้อมกับสกิลโอ้อวด แต่มีความตั้งใจเต็มเปี่ยม, Rita นักเวทย์จอมดื้อด้าน แต่เธอเป็นคนฉลาดและคอยสร้างสีสันให้กับกลุ่มเพื่อน (แบบไม่ได้ตั้งใจ) และมีตัวละครอื่น ๆ อีกมากมายที่จะได้พบเจอระหว่างการผจญภัย
นอกจากนี้ ตัวเกมสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครได้อย่างมีชีวิตชีวา ในระหว่างการเดินทาง มีโอกาสหลายครั้งที่ผู้เล่นสามารถกดปุ่มเพื่อฟังบทสนทนาในวงปาร์ตี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการคุยเรื่อยเปื่อยและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งแม้ว่าบทสนทนาอาจจะไม่มีพ้อยท์สำคัญต่อเนื้อเรื่อง แต่เนื่องจากปริมาณบทที่เยอะ, นักพากย์ได้ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี, เนื้อเรื่องพยายามปล่อยเนื้อหาใหม่ออกมาเรื่อย ๆ ทำให้การผจญภัยในเกมมีสีสัน และน่าสนใจอย่างน่าประหลาด
ถึงแม้เนื้อเรื่องของ Tales of Vesperia จะง่าย ๆ สดใส เป็นมิตรแก่ทุกคน และตรงตามหลักสูตรอนิเมะผจญภัยแฟนตาซี แต่ด้วยบทของตัวละครที่เขียนได้ดีเยี่ยม และมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ แม้ว่าบางครั้งการดำเนินเนื้อเรื่องและบทสนทนาบางครั้งยืดยาวและไม่จำเป็นในบางช่วง แต่ทำให้ผู้เล่นสามารถรู้สึกเอนเตอร์เทนและสนุกสนานกับเนื้อเรื่องได้จนจบเกม
คำถามต่อมา คือ Tales of Vesperia Definitive Edition เหมาะสำหรับคนเพิ่งเข้าถึง Tales Series หรือไม่? คำตอบคือใช่ เพราะซีรี่ส์ Tales ในแต่ล่ะภาคจะเป็นการเล่าเนื้อเรื่องใหม่ ตัวละครใหม่ แผ่นที่ใหม่เกือบทั้งหมด ทำให้ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องเล่นภาคเก่าเพื่อให้รู้สึกอินกับเนื้อเรื่องภาคนี้ แต่เนื้อหาบางส่วนยังมีการอ้างอิงเนื้อหาจาก Tales of ภาคเก่า แต่โชคดีที่เนื้อหาภาคเก่าไม่ได้เจาะลึกถึงขนาดนั้น (แค่กล่าวถึงเฉย ๆ) ฉะนั้นหากใครกลัวว่าเล่นเกม Tales ภาคนี้แล้วจะไม่รู้เรี่อง ขอบอกตรงนี้เลยว่าปลอดภัยหายห่วงครับ
ระบบเกมเพลย์สไตล์ซีรี่ส์ Tales
ต้องออกตัวก่อนว่า นี่เป็นเกมแรกที่ผู้เขียนได้สัมผัสเกมซีรี่ส์ Tales ฉะนั้นจะพูดถึงเฉพาะในภาคนี้เท่านั้น และไม่มีการเปรียบเทียบกับ Tales ภาคอื่น
ระบบเกมการเล่นของ Tales of Vesperia เป็นเกมประเภท JRPG ดั้งเดิม ถ้าหากผู้เล่นเคยมีประสบการณ์เล่นเกม JRPG มาก่อน คุณจะเข้าใจระบบของเกมนี้ไม่ยาก เพราะไม่ว่าจะเป็นระบบการจัดการ/ออกคำสั่ง Party, การจัดเลือกสวมใส่อาวุธ/อุปกรณ์, ระบบ Encounter ศัตรูหรือมอนสเตอร์ด้วยการเดินเข้าหา, คราฟไอเท็ม, การแลกเปลี่ยนซื้อขายในเกม, Boss Fight ที่ชวนลุ้นละทึกและหัวร้อน และองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกม JRPG ควรจะมียังคงอยู่ครบทุกประการ
แต่ฟีเจอร์ที่แตกต่างจากเกม JRPG ซีรี่ส์อื่นอย่างชัดเจน คือระบบ Combat ที่ผู้เล่นสามารถควบคุมตัวละครได้อย่างอิสระเสรี ไม่ว่าจะเป็นการกดปุ่มโจมตีเป็นคอมโบ, ตั้งการ์ดป้องกัน, เคลื่อนไหวอ้อมหลังศัตรู, ระบบล็อคเป้า ทำให้ระบบการต่อสู้ของ Tales of Vesperia มีความเป็นแอคชั่นกว่าเกม JRPG ทั่วไป
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่ง คือระบบสกิลของเกมนี้เรียกว่า Arte โดยผู้เล่นสามารถเลือกใช้สกิลระหว่างการโจมตีปกติกลายเป็นท่าคอมโบรุนแรงต่อเนื่องตามที่ผู้เล่นตั้งค่าไว้ โดยสกิล Arte จะปลดเองตามอัตโนมัติจากเลเวลอัพ และยิ่งเกมเมอร์ได้เล่นเนื้อเรื่องนานเท่าไหร่ ฟีเจอร์ระบบการต่อสู้จะเริ่มปลดล็อคมากขึ้น อย่างเช่น เกจ Over Limit ที่ผู้เล่นสามารถทำคอมโบรวดเร็วแบบ Non-Stop และ Mystic Artes สกิลท่าไม้ตายพิเศษที่สามารถสร้างความเสียหายอย่างหนักที่มาพร้อมกับมีฉาก Cut-In พิเศษ
แล้วนอกจากนี้ ผู้เล่นสามารถออกคำสั่งปาร์ตี้แบบ Manual, Semi-Auto และ Automatic โดยระบบ Manual จะให้ผู้เล่นควบคุมทุกอย่าง, Semi-Auto ผู้เล่นจะเดินเข้าเองศัตรูเองโดยอัตโนมัติ, Automatic ให้ A.I. เป็นผู้ควบคุมการต่อสู้ทั้งหมด
ตอนแรกผู้เขียนสงสัยว่าจะมีระบบปรับเปลี่ยนการทำงาน A.I. ในกลุ่มปาร์ตี้เพื่ออะไร เพราะหากปรับ Manual, Semi-Auto ให้สมาชิกปาร์ตี้ จะทำให้ A.I ของตัวละครไม่ทำงานแล้วปล่อยให้โดนมอนสเตอร์ตบตีอย่างง่ายดาย จนมาสืบรู้ทีหลังว่าเกมนี้มีระบบ Local co-op ที่เปิดให้ Player 2-4 เข้ามาร่วมเล่นเกมนี้ในหน้าจอเดียวกัน แต่การเดินทางยังคงควบคุมโดย Player 1 ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีก็ดี ไม่มีก็ได้ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับลิ้มลอง ถ้าหากผู้เล่นมีจอย DualShock 4 สองตัวขึ้นไป
และอุปกรณ์อาวุธกับเกราะต่าง ๆ จะมีคุณสมบัติเป็นสกิลประเภท Passive และมีทักษะ Movement พิเศษเฉพาะตัว ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมของสไตล์การเล่นของแต่ล่ะคน
อย่างไรก็ตาม เกมนี้ยังคงระบุเป็นเกม JRPG ฉะนั้นระบบ Combat จะเรียบง่าย ยกตัวอย่าง กด O ต่อเนื่องเพื่อตีเป็นคอมโบ, กด X ใช้สกิล, กด ☐ เพื่อป้องกัน, กด R2 ค้างเพื่อวิ่งทั่ว Arena อย่างอิสระ (ปล่อย R2 จะเป็นมุมกล้องแนวนอนแบบเกมต่อสู้) และไม่มีท่าต่อสู้เพิ่มเติมที่ลึกซึ้งมากกว่านี้ ซึ่งสาเหตุที่ทีมงานออกแบบให้ระบบการต่อสู้เป็นแบบนี้ เพราะไม่งั้นเกมนี้จะกลายเป็นเกมแอคชั่น Hack and Slash เต็มรูปแบบ และระบบ JRPG จะไร้ค่าโดยทันที
แต่เกมนี้มีข้อเสียที่ทำให้ความสนุกกลายเป็นความเครียดในบางช่วงเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องของการควบคุมปุ่มอนาล็อก L3 กับ R3 ที่ตอบสนองไวหรือช้าจนเกินไป หลายครั้งมากที่โยกอนาล็อกเดินไปทางขวาแต่จู่ ๆ ตัวละครก็กระโดดขึ้นเอง (กระโดดต้องโยกอนาล็อกขึ้นบน) หรือ โยกอนาล็อกสุดทางแล้วไม่วิ่งแต่เดินในบางครั้ง ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้ผู้เล่นหลายคนจะต้องหงุดหงิด หากผู้เล่นต้องปะทะกับศัตรูตัวต่อตัว หรือโดนรุม 1 ต่อ 3 ซึ่งแม้ว่าตัวเกมจะสามารถปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวมาใช้ D-Pad แทนอนาล็อกได้ก็จริง แต่ก็ไม่ช่วยให้ผู้เล่นรู้สึกสะดวกสบายกับการต่อสู้มากเท่าไหร่นัก
แล้วด้วยระบบ Combat ที่เรียบง่ายเกินไปและมาพร้อมกับการควบคุมที่ค่อนข้างแปลก กลับส่งผลลัพธ์ทำให้ผู้เล่นมักลงเอยด้วยการกดปุ่มมั่วราวกับคนเล่นเกมต่อสู้มือใหม่ที่ผู้เล่นสามารถเอาชนะมอนสเตอร์ได้ง่าย ๆ จากการรัวปุ่ม (ยกเว้น Boss Fight) ซึ่งอาจทำให้ตัวเกมเกิดความความซ้ำซากได้ในระยะยาว
โดยรวมแล้ว ระบบการเล่นของ Tales of Vesperia จะค่อนข้างเข้าถึงง่ายสำหรับเกมเมอร์ที่อยากจะลิ้มลองเกม JRPG ที่ต้องการความเป็นแอคชั่น แต่ไม่โดนกลบองค์ประกอบ JRPG จนกลายเป็นเกมบู๊ล้างผลาญอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าการควบคุมตัวละครและการวางปุ่มควรได้รับการปรับปรุงให้ดีกว่านี้ แต่โดยรวมแล้ว เป็นประสบการณ์การเล่นรูปแบบหนึ่งที่ทำให้ผู้เล่นต้องนั่งติดเก้าอี้หลายชั่วโมง เพราะมันสนุกเร้าใจจริง ๆ
Last Generation VS. Definitive Edition
คำถามที่สำคัญที่สุด Definitive Edition สำหรับ PC, PS4, Xbox One และ Switch แตกต่างจากเวอร์ชั่น Last Generation อย่าง PS3 และ Xbox 360 อย่างไร
สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือ ภาพกราฟิกสำหรับ Definitive Edition ได้รับการขยายความละเอียดหน้าจอเป็นภาพ HD ขนาด Native 1080p และวิ่งลื่นอยู่ที่ 60 FPS แต่ในขณะที่โมเดลของตัวละครมีคมชัดมากยิ่งขึ้น แต่น่าเสียดายภาพที่ Texture กับเงา Shadow มีภาพแตกและมีรายละเอียดต่ำ (ต้องทำความเข้าใจว่าเป็นเพียงแค่ Definitive เท่านั้น ไม่ใช่ Remastered)
ส่วนเรื่องของระบบเกมเพลย์กับเนื้อหาพิเศษ อย่างเช่น ตัวละครที่เข้าร่วมปาร์ตี้อย่าง Patty ที่มีให้เล่นเฉพาะในเวอร์ชั่น PS3 กับ Flynn ที่ไม่เคยอยู่ในปาร์ตี้, DLC ชุดเสริมทุกชนิด, Side Quest และ Mini Game ที่เป็น Exclusive เฉพาะโซนญี่ปุ่น ได้ปลดล็อคทุกอย่างกลายเป็นเกมขนาดเต็มที่จ่ายรวดเดียวจบใน Definitive Edition
นอกจากนี้ ตัวเกมได้ใส่ระบบเสียง 2 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษกับภาษาญี่ปุ่น แต่เสียงพากย์ภาษาอังกฤษได้มีการเปลี่ยนผู้พากย์บทเสียง Yuri Lowell จากคุณ Troy Baker กลายมาเป็นคุณ Grant George แทน
สรุป
ด้วยเนื้อเรื่องที่น่าสนใจตลอดการผจญภัย คอนเท้นท์จัดเต็ม ตัวละครมีชีวิตชีวา และระบบการเล่นสนุกมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้เกม Tales of Vesperia Definitive Edition ไม่รู้สึกว่าเป็นเกมที่ล้าหลัง และตัวเกมยังคงเล่นสนุกสนานสไตล์เกมประเภท JRPG ที่ผู้เล่นทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายด้วยผสมผสานความเป็นเกมแอคชั่นจนถึงทุกวันนี้ แม้จะเป็นเกมปี 2008 หรือไม่ใช่แฟนเกมประเภท JRPG ก็ตาม
Tales of Vesperia Definitive Edition ออกจำหน่ายแล้ววันนี้ ในแพลตฟอร์ม PC (Steam), PlayStation 4, Xbox One และ Nintendo Switch
แพลตฟอร์มที่ใช้รีวิว: PlayStation 4 Pro